Pages

Subscribe:

Knowledge is Power

สะสมความรู้ได้ทุกวัน
Powered by Blogger.

Blog Archive

Sunday, June 24, 2012

สิว สิวอุดตัน สิวอักเสบ และวิธีรักษาที่ถูกต้อง


@DrWoraphong
สิวอุดตันหรืออีกชื่อคือสิวคอมิโดน คือสิวเม็ดเล็กๆขนาด1-2มม. เมื่อบีบออกจะเห็นของกึ่งเหลวสีขาวอยู่ภายใน มักพบบริเวณใบหน้า หน้าอกและหลัง
สิวอุดตันแบ่งเป็น2ชนิดคือ สิวหัวขาวและสิวหัวดำ
สิวหัวขาวคือสิวอุดตันที่มีลักษณะเป็นตุ่มขนาดเล็กสีขาวที่ไม่มีรูเปิดบริเวณผิว ดังรูป http://t.co/W8GbyTmG
สิวหัวดำคือสิวอุดตันที่มีลักษณะเป็นตุ่มขนาดเล็กและมีจุดสีดำตรงกลางที่เป็นรูเปิดบริเวณผิว ดังรูป http://t.co/U4yZk4GQ
สิวอุดตันอาจพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการติดเชื้อหรือการบีบกดอย่างรุนแรง
วิธีรักษาสิวอุดตันมี2วิธีคือ การทายาและการกดสิว
ยาทาที่ใช้รักษาสิวอุดตันที่ได้ผลดีที่สุดคือกรดวิตะมินเอ แต่ข้อเสียคือหลังทา2weekแรกอาจมีสิวเห่อ อาจระคายผิวและจะต้องทาเป็นเดือนจึงเห็นผล
การกดสิวเป็นวิธีการรักษาสิวอุดตันที่ได้ผลเร็วที่สุด อาจเจ็บเล็กน้อย และมีสะเก็ดเล็กๆอยู่3-4วัน
การกดสิวทำโดยใช้ปลายเข็มขนาดเล็กสะกิดผิวตื้นๆแล้วใช้อุปกรณ์กดหัวสิวกดออก
มีคลินิกบางแห่งเอาเครื่องเลเซอร์มาใช้แทนการใช้ปลายเข็มสะกิดเพื่อคิดค่ารักษาเพิ่มขึ้นเป็นการฉวยโอกาสเอาเปรียบคนไข้ที่ไม่รู้ทัน
ข้อควรระวัง!! การใช้เลเซอร์เปิดหัวสิวอาจทำให้เกิดรอยคล้ำหรือแผลหลุมตามมาได้

สิวอักเสบมีลักษณะเป็นตุ่มแดงกดเจ็บบริเวณใบหน้า หน้าอกหรือหลัง อาจมีตุ่มหนองขนาดเล็กๆอยู่ตรงกลาง http://t.co/pRAyzC7g
สิวอักเสบอาจพัฒนามาจากสิวอุดตัน หรือขึ้นมาเป็นสิวอักเสบเลยก็ได้โดยไม่เป็นสิวอุดตันมาก่อน
ถ้าสิวอักเสบเป็นมากขึ้นหรือถูกบีบเค้นอาจพัฒนาไปเป็นสิวหัวช้างคือเป็นสิวขนาดใหญ่ขึ้น กดดูนุ่มๆเพราะกลัดหนองอยู่ข้างในและมีอาการปวดมากขึ้น
ถ้ามีสิวอีกเสบไม่ควรพยายามบีบเค้นเอาเองเพราะทำให้อักเสบมากขึ้น
 5. สิวอักเสบเพียง3-4เม็ดรักษาด้วยยาทา แต่ถ้าเป็นหลายเม็ดหรือทายาแล้วไม่ดีขึ้นต้องรักษาด้วยยากิน+ยาทา
ยาทาสำหรับสิวอักเสบเช่น clindamycin/ Erythromycin /Benzoyle peroxide ไม่ควรซื้อยากินเองควรปรึกษาแพทย์RT @DrWoraphong 7. ถ้าสิวอักเสบมาก แพทย์อาจฉีดยาสตีรอยด์ที่เม็ดสิวเพื่อช่วยให้ยุบและหายปวดเร็วขึ้น
สิวอักเสบมักตามมาด้วยรอยคล้ำ ถ้าอักเสบมากจะทำให้เกิดแผลหลุมได้ ดังนั้นควรรีบรักษาสิวอักเสบให้หายโดยเร็ว
มีการรักษาสิวอักเสบโดยวิธีใช้สารไวแสงทาผิวและยิงด้วยเลเซอร์เพื่อให้เกิดปฏิกริยาไปทำลายต่อมไขมันและเชื้อแบคทีเรียก่อสิว เรียกวิธีนี้ว่า PDT
PDT ย่อมาจาก photodynamic therapy ใช้สำหรับรักษาสิวอักเสบรุนแรงหรือสิวหัวช้างที่รักษาด้วยยากินและยาทาไม่ได้ผล
PDT ต้องทำทุก2-3week ติดต่อกัน 3-4ครั้งจึงจะเห็นผลการรักษาชัดเจน
หากใช้ทั้งยากินและยาทาร่วมกันไม่ได้ผล ยาไม้ตายสุดท้ายอีกทางหนึ่งคือการกินยาRoaccutane
ยาRoaccutaneออกฤทธิ์โดยการลดการสร้างไขมันของต่อมไขมัน มีผลข้างเคียงหลายอย่างทำให้แพทย์เก็บไว้ใช้เมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น

แล้วตีนกา ไหงมาอยู่หางตาฉัน


@DrWoraphong
ตีนกาคือริ้วรอยข้างตาซึ่งเห็นชัดเมื่อยิ้มเยอะๆ http://t.co/DbgoPKxq
ปกติตอนวัยหนุ่มสาวเวลายิ้มจะไม่ค่อยเห็นรอยนี้ แต่เมื่ออายุมากขึ้นจะเห็นรอยชัดขึ้น จนในที่สุดเมื่อไม่ยิ้มก็ยังเห็นรอยตีนกาอยู่
ตีนกาเกิดจากการที่กล้ามเนื้อหดตัวแล้วคลายตัวไม่หมด ทำให้เห็นเป็นรอยเท้ากาคาไว้ข้างตา
วิธีการรักษาตีนกาที่ได้ผลดีที่สุดคือการฉีดยาโบท็อกซ์เพื่อทำให้กล้าเนื้อคลายตัว เลเซอร์มักไม่ค่อยได้ผลดีในการนี้
โบท็อกซ์ฉีดแล้วจะคงฤทธิ์อยู่นาน3-4เดือน แต่ถ้าหากฉีดติดต่อกันทุก3-4เดือนหลายๆรอบโบท็อกซ์จะคงฤทธฺิ์นานได้ถึง8-9เดือน
ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของการฉีดโบท็อกซ์ในตำแหน่งนี้คือการเกิดรอยช้ำซึ่งเกิดการเส้นเลือดแตกตัวขณะฉีดยา
รอยช้ำพวกนี้จะจางหายเองได้ใน1สัปดาห์ การประคบเย็นในช่วงวันแรกและประคบร้อนในวันต่อๆมาจะช่วยให้รอยช้ำจางเร็วขึ้น
การทายาเพื่อลบริ้วรอยรอบมักไม่ได้ผลสำหรับตีนกา เพราะยาทาไม่สามารถออกฤทธิ์ลึกไปถึงกล้ามเนื้อ ยาทาทำให้เซลล์บวมน้ำริ้วรอยอาจดีขึ้นชั่วคราว

ตาปลา ไหงมาอยู่บนเท้าคน?



@DrWoraphong
ตาปลาคือตุ่มนูนแข็งสีเนื้อที่กดหรือลงน้ำหนักแล้วมีอาการเจ็บ มักพบบริเวณผิวหนังที่ได้รับแรงกดหรือเสียดสีบ่อยๆ
ตำแหน่งที่มักเป็นตาปลา: ฝ่าเท้า นิ้วเท้า ฝ่ามือ นิ้วมือ
คนที่มักเป็นตาปลา: นักกีฬาประเภทที่ต้องวิ่ง หญิงนิยมสวมส้นสูง คนที่ชอบสวนรองเท้าหัวแหลม ทหารตำรวจที่ต้องสวมรองเท้าแข็งๆเป็นเวลานานๆ
การเดินมากๆ หรือน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็วก็เกิดตาปลาได้
วิธีรักษาตาปลาคือ การทายา และการฝาน ห้ามรักษาโดยการผ่าตัดหรือจี้ไฟฟ้าและเลเซอร์เพราะอาจเกิดแผลเป็นเวลาเดินจะปวดตลอด
ยาทาตาปลาส่วนใหญ่เป็นกรดอ่อนๆที่มีฤทธิ์กัดลอกผิว ส่วนใหญ่ต้องทาติดต่อเป็นเดือนจึงได้ผล ยาทาไม่ได้ลดอาการเจ็บของตาปลาทันที
วิธีรักษาที่ได้ผลเร็วและดีที่สุดคือการฝาน ไม่เจ็บ ไม่มีแผล เสร็จใน 2-3นาทีและตาปลาหายเจ็บทันที
วิธีป้องกันตาปลาคือการหยุดหรือลดการเสียดสีในตำแหน่งนั้นๆเช่น สวมรองเท้าที่ไม่คับไม่หลวมเกินไป
ลดน้ำหนัก สวมรองเท้าส้นเตี้ย ใส่แผ่นรองกันการกระแทกในรองเท้า
ส่วนใหญ่ตาปลามักกลับเป็นซ้ำ อาจต้องให้แพทย์ฝานออกเป็นระยะๆ
วิธีการฝานตาปลา ไม่เจ็บ ไม่มีแผล ตาปลาหายเจ็บทันที http://t.co/x9K4gpw7 via @youtube

เท้าเหม็น! ช่วยด้วย!


@DrRungsima
คนเท้าเหม็นมีสาเหตุมากจากการมีเหงื่อออกที่เท้ามาก หรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียที่เท้า วิธีการรักษาทำได้โดยลดเหงื่อที่เท้า ร่วมกับใช้ยาฆ่าเชื้อ
การลดปริมาณเหงื่อที่เท้าทำได้โดยการทาแป้ง หรือทายา aluminium chloride เป็นประจำ การทำ iontophoresis ที่เท้า หรือการฉีด botulinum toxin
การทาแป้งหรือทายา aluminium chloride เพื่อลดเหงื่อที่เท้าป้องกันเท้าเหม็นนั้นต้องทำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แต่มีประสิทธิภาพการรักษาต่ำ
การทำ iontophoresis เพื่อลดเหงื่อที่ฝ่าเท้า ต้องทำทุกสัปดาห์อย่างน้อย 10 ครั้ง ได้ผลลดเหงื่อและป้องกันเท้าเหม็นได้ประมาณ 50%
การฉีด botulinum toxin ที่ฝ่าเท้าเพื่อลดเหงื่อและกันเท้าเหม็น ได้ผลดีที่สุดถึง 80% แต่ราคาแพงและได้ผลชั่วคราวเพียง 6-9 เดือน
ถ้าสาเหตุของเท้าเหม็นมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียจะมีหลุมเปื่อยเล็ก ๆ ที่ฝ่าเท้า บางครั้งหลุมอาจรวมตัวกันเป็นแอ่งตื้น ๆ คล้ายแผนที่ ต้องพบแพทย์
การติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เท้าเหม็นจะสังเกตได้ง่าย ๆ อีกอย่างคือ เวลาถอดถุงเท้าแล้วจะรู้สึกว่าถุงเท้าติดกับฝ่าเท้า ถอดยาก และไม่รู้สึกคัน
การติดเชื้อราที่ฝ่าเท้าก็ทำให้เท้าเหม็นได้ กรณีนี้ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติม และสั่งยาให้เหมาะกับชนิดของเชื้อรา

อยากหน้าเรียว กระชับรูปหน้ายังไงดีนะ


@DrRungsima

การเอาเลเซอร์สลายไขมันมากระชับผิวหน้าหรือปรับรูปหน้า
การอยากหน้าเรียวเป็นความต้องการยอดนิยมของชาวเอเชียในปัจจุบัน การทำให้หน้าเรียวทำได้โดยลดขนาดของกล้ามเนื้อ (กราม) และการสลายไขมันที่แก้ม
ถ้าต้องการปรับรูปหน้าควรตรวจสอบก่อนว่าเป็นปัญหาจากกล้ามเนื้อกรามที่ใหญ่ (หน้าเหลี่ยม) หรือเป็นจากการที่มีไขมันบริเวณแก้มมาก
ถ้าต้องการลดขนาดของกล้ามเนื้อกรามเพื่อให้หน้าเรียวทำได้โดยการฉีด botulinum toxin ซึ่งจะเห็นผลใน 2-3 เดือน แต่ไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำ
ถ้าต้องการลดขนาดของแก้ม โดยเน้นการลดขนาดของไขมันเป็นหลัก ทำได้โดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ และใช้เลเซอร์สลายไขมัน ส่วนการฉีดยาไม่ผ่าน อย.
การลดแก้มโดยใช้คลื่นความถี่วิทยุต้องทำสัปดาห์ละครั้ง 5-10 ครั้ง จะได้ผลอย่างน้อย 6 เดือน หลังจากนั้นให้ทำซ้ำเดือนละครั้ง
การใช้เลเซอร์สลายไขมันเพื่อปรับรูปหน้า ต้องฉีดยาชาเจาะรูที่ผิวหนังแล้วสอดท่อนำแสงเลเซอร์ไปใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการรักษา เพื่อสลายไขมัน
ข้อดีของการใช้เลเซอร์สลายไขมันเพื่อลดแก้มคือทำเพียงครั้งเดียว เห็นผลทันที และถาวร แต่ข้อเสียคือต้องมีการเจาะรูบนผิวหนังอาจเกิดแผลเป็นได้

การฉีด botulinum toxin ที่ความเข้มข้นน้อยมาก ๆ ลงบนใบหน้าเพื่อหวังผลในการกระชับรูปหน้า (botoxlift) ผลการรักษาไม่แน่นอน และได้ผล1-2เดือน
การใช้ยาฉีดสลายไขมัน (mesofat) นั้น ยาที่ใช้ในประเทศไทยผ่าน อย. ในรูปของการทา ไม่ได้ผ่าน อย. ในรูปของการฉีด ไม่แนะนำให้ทำ

น้ำเหลืองไม่ดี ยุงกัดทีไรก็เป็นตุ่มๆ ทำยังไงดีนะ


@DrRungsima เมื่อถูกยุงหรือแมลงกัดแล้วเกิดเป็นตุ่มนูนแดง พอเกาแล้วเป็นแผล หายเป็นรอยดำ ไม่ใช่เกิดจากน้ำเหลืองไม่ดี แต่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังที่ไวต่อแมลง
เมื่อถูกยุงหรือแมลงกัดแล้วเกิดเป็นตุ่มนูนแดง พอเกาแล้วเป็นแผล หายเป็นรอยดำ ไม่ใช่เกิดจากน้ำเหลืองไม่ดี แต่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังที่ไวต่อแมลง
การรักษารอยดําจากการแพ้ยุงที่ดีที่สุดคือป้องกันยุงกัดโดยทายากันยุง ใส่เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวเวลาอยู่ในที่่่ที่อาจมียุง ยาทาลบรอยดําได้ผลน้อย
รอยดำจากยุงหรือแมลงกัด บรรเทาได้โดยทากรดวิตะมินเอ กรดผลไม้ kojic arbutin หรือ licorice แต่ถ้ายังมีตุ่มแดงอยู่อย่าพึ่งใช้ยาในกลุ่มนี้
ตุ่มนูนแดงคันที่เกิดจากการถูกยุงหรือแมลงกัด ให้ใช้ครีมสเตียรอยด์อ่อน ๆ ทาวันละ 2 ครั้ง จนกว่าจะดีขึ้นและไม่คัน จะลดการเกิดรอยดำตามมาได้
ไม่ควรแกะเกาเพราะจะทําให้เกิดแผลและเป็นรอยดํานานขึ้น

หมอที่รักษาใบหน้าที่คุณเฝ้าทะนุถนอม "ใช่"แพทย์ผิวหนังจริงหรือ???


ประชาชนทั่วไปอาจไม่เข้าใจว่าแพทย์ผิวหนังคือใคร และเมื่อมีปัญหาโรคผิวหนังหรือความสวยงามที่เกี่ยวกับผิวหนัง ควรไปพบแพทย์สาขาใด
แพทย์ที่ดูแลปัญหาด้านผิวหนัง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง และแพทย์ที่ทำงานด้านโรคผิวหนัง ซึ่งฟังดูคล้ายกัน
 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังหรือแพทย์ผิวหนัง คือแพทย์ที่ผ่านการอบรมแพทย์ประจำบ้านสาขาตจวิทยา ใช้เวลาเรียน 4 ปี มีผู้เรียนปีละ 20 คน
 แต่ละปีจะมีแพทย์ที่จบหลักสูตรและสอบผ่านจนได้รับวุฒิบัตรสาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) จากแพทย์สภาประมาณ 20 คนต่อปี เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก
 ท่านสามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ที่ได้รับวุฒิบัตรหนังอนุมัติบัตรสาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) เหล่านี้ได้ที่ http://t.co/r5oQ7fXa
 แพทย์ที่ทำงานด้านโรคผิวหนัง (ที่ไม่ได้วุฒิบัตรหรืออนุมัติบัตรด้านผิวหนัง) อาจเรียกว่าแพทย์ดูแลโรคผิวหนังและผิวพรรณทั่วไปมีจำนวนมากกว่า
แพทย์ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมด้านผิวหนังเหล่านี้สามารถพัฒนาตนเองให้มีความรู้ด้านผิวหนังให้มากขึ้น โดยเข้ารับการอบรมระยะสั้นโรคผิวหนังได้
 ปัญหาคือแพทย์บางท่านอาจไม่ได้รับการอบรมหลักสูตรด้านผิวหนังเลย แต่มีความสนใจทำงานด้านผิวหนัง อาจนำวิธีการรักษาที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
แพทย์ที่ไม่ได้รับการอบรมด้านผิวหนังนี้อาจนำวิธีการรักษาที่ไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาใช้ ซึ่งเกิดผลเสียต่อผู้ป่วยได้ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา
ก่อนเข้ารับบริการปรึกษาโรคผิวหนังหรือผิวพรรณความงาม ควรใส่ใจศึกษาถึงระดับการศึกษาอบรมด้านโรคผิวหนังของแพทย์ผู้ให้การดูแลอย่างถี่ถ้วน
ปัจจุบันมีวิธีการรักษาและการใช้เครื่องมือมากมาย ซึ่งอาจไม่ผ่านมาตรฐานทางวิชาการและความปลอดภัยของ อย. จึงควรสอบถามให้ละเอียดก่อนการรักษา
 เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยของท่าน ควรศึกษาวิธีการ ผลดี ผลเสีย และผลข้างเคียง รวมถึงค่าใช้จ่ายการเข้ารับบริการ
 อย่างไรก็ตาม แพทยศาสตร์บัณฑิตที่ได้ใบประกอบโรคศิลป์ ก็สามารถตรวจรักษาโรคผิวหนังทั่วไปได้ ซึ่งตรวจสอบได้ที่นี่ http://t.co/JcqNcv5N
สำหรับคลินิก สามารถตรวจสอบว่าคลินิกนั้นได้รับอนุญาตจากกองประกอบโรคศิลปะหรือไม่ ได้โดยส่ง email ไปยัง mrd@hss.moph.go.th

รูขุมขนกว้าง ทำยังไงดี


@DrRungsima รูขุมขนกว้าง ถ้าพบในคนอายุน้อย มักจะเป็นคนที่มีผิวมัน แต่ถ้าพบตอนอายุมากขึ้น ถือเป็นสัญญาณหนึ่งที่แสดงว่าคอลลาเจนที่ผิวเริ่มเสื่อมสภาพ
คอลลาเจนจะเป็นเนื้อเยื่อที่รัดอยู่รอบรูขุมขน เมื่อคอลลาเจนเสื่อมสภาพ จะไม่สามารถกระชับรูขุมขนได้ จึงเห็นรูขุมขนขยายขนาดและกว้างขึ้น
ที่รูขุมขน จะมีท่อจากต่อมไขมันมาเปิดออก น้ำมันที่ต่อมไขมันผลิตจะขับออกทางรูขุมขน เมื่อรูขุมขนกว้าง น้ำมันจึงออกมาสู่ผิวมากขึ้น ผิวจึงมัน
เมื่อรูขุมขนกว้าง ร่วมกับมีน้ำมันถูกขับผ่านรูขุมขนมากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันได้ง่าย คนที่รูขุมขนกว้าง จึงมักมีหน้ามันและมีสิวอุดตันตามมา
คนที่มีรูขุมขนกว้าง หน้ามัน และสิวอุดตัน จึงควรล้างหน้าให้สะอาด ใช้ toner เพื่อควบคุมความมัน และป้องกันการเกิดสิวอุดตัน

การกระชับรูขุมขน สามารถทำได้หลายวิธี แต่ละวิธีมีประสิทธิภาพ และระยะเวลาที่ผลการรักษาจะคงอยู่ต่างกันออกไป
การทายากรดวิตะมินเอ กรดผลไม้ azaleic acid จะช่วยลดหน้ามันและสิวอุดตันได้ แต่ไม่สามารถกระชับรูขุมขนได้ เมื่อหยุดใช้หน้าก็จะกลับมามันอีก
การทำเลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจนแบบไม่มีแผล จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ แต่ต้องทำเดือนละครั้งอย่างน้อย 3-5 ครั้งขึ้นไป ผลที่ได้จะอยู่นาน
การทำเลเซอร์กระตุ้นคอลลาเจนแบบไม่มีแผล จะช่วยลดหน้ามันได้เพียงเล็กน้อย และไม่สามารถช่วยในเรื่องสิวอุดตันได้ จึงต้องใช้ยาทาร่วมด้วยเสมอ
การทำเลเซอร์กรอผิวแบบตื้น จะช่วยกระชับรูขุมขน และลดการเกิดสิวอุดตันได้ ต้องรักษาทุกเดือนประมาณ 3 ครั้ง รูขุมขนจะดีขึ้นได้ 60-70%
หลังการทำเลเซอร์กรอผิวแบบตื้น จะมีแผลอยู่ 3-5 วัน และต้องเลี่ยงแดดทาครีมกันแดดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำบริเวณที่ทำเลเซอร์
ข้อดีของการกระชับรูขุมขนด้วยเลเซอร์กรอผิวแบบตื้น คือ ประสิทธิภาพสูง และผลการรักษาอยู่นานที่สุด แต่มีข้อเสียคือมีแผลและต้องดูแลรักษามาก
การใช้ฟิลเลอร์ (สารเติมเต็ม) ฉีดลงบนใบหน้าเพื่อกระชับรูขุมขน เป็นวิธีที่เห็นผลได้มากที่สุดถึง 80-90% หลังการรักษาครั้งเดียว
การใช้ฟิลเลอร์รักษารูขุมขนกว้างมีข้อเสียคือราคาแพง อย่างน้อย 10,000 บาทต่อการรักษา 1 ครั้ง และไม่ถาวร จะต้องฉีดซ้ำทุก 6 เดือน
การใช้กรดผลไม้ การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี การผลักวิตะมิน การทำ derma roller หรือ mesotherapy ไม่สามารถรักษาภาวะรูขุมขนกว้างได้

อ้วน! การลดความอ้วนโดยใช้ยา

@DrRungsima


ยาลดความอ้วนส่วนใหญ่มีฤทธิ์ควบคุมความอยากอาหาร ทำให้กินน้อยลง น้ำหนักลด พอเลิกกินยา ความอยากอาหารก็กลับมาปกติ น้ำหนักจะขึ้นได้
ยาลดความอ้วนทำให้นอนไม่หลับปากแห้งกระหายน้ำหงุดหงิด คลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ และเกิดการดื้อยาเมื่อใช้ไปนานๆทำให้ต้องเพิ่มยาขึ้นเรื่อยๆ
ยาลดความอ้วนบางชนิดถูกสั่งห้ามขายแล้ว เช่น ยาเฟน-เฟน (Fen-Phen) ซึ่งหมายถึง Fenfluramine กับ Phentermine อันเป็นยายอดฮิตในการลดความอ้วน
ยาลดความอ้วน Fenfluramine ทำให้ความดันโลหิตสูงในหลอดเลือดส่งไปยังปอด ทำให้เลือดดำเปลี่ยนเป็นเลือดแดงที่ปอดไม่ได้ ร่างกายก็จะขาดออกซิเจน
ยาลดความอ้วน Fenfluramine ยังทำให้หายใจลำบาก หายใจไม่เต็มอิ่ม เจ็บปวดที่หน้าอก เป็นลมง่าย บางครั้งเลือดไหลเวียนไม่ดีมีอาการบวมที่ขาด้วย
เมื่อใช้ยาลดความอ้วน Fenfluramine ร่วมกับยา Phentermine จะพบว่าทำให้ลิ้นหัวใจผิดปกติ ไม่สามารถปิดสนิท เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเสียชีวิตได้
.

มียาสำหรับคนชอบกิน แต่ไม่อยากดูดซึมไขมันเข้าไปในร่างกาย ชื่อ Oristat (Xenical) เอาไว้กินหลังอาหารมื้อใหญ่ ๆ ซึ่งผ่านการรับรองจาก อย.แล้ว
Orlistat (Xenical) เป็นยาที่ใช้สำหรับขัดขวางการดูดซึมไขมันจากอาหารที่เรากินเข้าไป ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย โดยจะลดปริมาณไขมันที่ถูกดูดซึมได้ 30%
ระหว่างการควบคุมน้ำหนัก สามารถกินยา Oristat (Xenical) ได้ตลอด มีงานวิจัยพบว่ายานี้ทำให้ลดน้ำหนักได้ 10% ของน้ำหนักตัวก่อนลดความอ้วน
ผลข้างเคียงของ Oristat (Xenical) ก็คือมีไขมันปนออกมากับอุจจาระ เพราะไขมันในอาหารจะถูกย่อย แต่ไม่ถูกดูดซึมผ่านลำไส้ ไขมันจึงออกมากับอุจจาระ
ถ้าต้องการลดผลข้างเคียงของ Oristat (Xenical) ก็ต้องลดการกินอาหารที่มีไขมันสูง จะมีไขมันปนออกมากับอุจจาระน้อยลง
วิตะมิน A D E K จะละลายในไขมัน ดังนั้นผู้ที่กินยา Oristat อาจมีปัญหาขาดวิตะมินเหล่านี้ได้ ถ้าต้องกินยาเป็นเวลานาน อาจพิจารณากินวิตะมินเสริม
อย่างไรก็ตามพบว่าหลังหยุดกินยา Orlistat (Xenical) คนไข้ส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักขึ้นกลับคืนมาประมาณ 1 ใน 3ของน้ำหนักที่ลดได้ทั้งหมดในช่่วงที่กินยา
ระยะหลังพบว่ามียาปลอมของ Oristat (Xenical) ออกมาขายตามท้องตลาดและ website อย่างแพร่หลาย ผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการลดความอ้วนที่มีประสิทธิภาพคือ ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายร่วมด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว
การกินยาลดความอ้วน ถึงแม้ว่าจะเป็นยาที่ได้รับการรับรองจาก อย. แต่ก็ยังมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้อยู่ดี
.


ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการทำเลเซอร์



@DrRungsima
 ความเชื่อ 1 : การทำเลเซอร์ทำให้หน้าบาง
 ความจริง 1 : ผิวหนังจะบอบบางหลังทำเลเซอร์กรอผิวไม่เกิน1-2สัปดาห์ แต่ในระยะยาวการทำเลเซอร์กรอผิวจะทำให้ชั้นหนังแท้ (คอลลาเจน) หนาขึ้น
ความเชื่อ 2 : IPL คือเลเซอร์ชนิดหนึ่ง ที่รักษาได้ทุกอย่าง
 ความจริง 2 : IPL ไม่ใช่เลเซอร์แต่เป็นเครื่องปล่อยแสงความเข้มสูง ถึงแม้รักษาได้หลายอย่างแต่ประสิทธิภาพในการรักษาสู้เลเซอร์ไม่ได้
ความเชื่อ 3 : ใช้เลเซอร์ลบรอยดำจากสิวได้
ความจริง 3 : รอยดำจากสิวทำให้ดีได้ด้วยยาทาหรือการทำ treatment การทำเลเซอร์อาจทำให้รอยดำจากสิวแย่ลง หรือดำอยู่นานขึ้น
ความเชื่อ 4 : ใช้เลเซอร์ยิงหัวสิวอุดตัน เพื่อให้กดออกได้ง่าย
ความจริง 4 : ไม่จำเป็นต้องใช้เลเซอร์ยิงเปิดหัวสิว แค่ใช้เข็มสะอาดก็พอ การทำเลเซอร์ยังทำให้เกิดรอยดำสิวอยู่นานขึ้น และเสี่ยงต่อรอยแผลเป็น
ความเชื่อ 5 : ทำเลเซอร์แล้วหน้าจะไวแสงแดดอย่างถาวร พออายุมากฝ้าจะขึ้น
 ความจริง 5 : หลังทำเลเซอร์กรอผิวจะต้องเลี่ยงแดด7วัน หลังจากนั้นทาครีมกันแดด เมื่อแผลหายผิวก็จะเป็นปกติไม่ได้ไวต่อแสงแดดมากกว่าเดิม
ความเชื่อ 6 : เลเซอร์เครื่องเดียว รักษาได้ทุกโรค
 ความจริง 6 : เลเซอร์ชนิดนึงจะรักษาได้เฉพาะโรค เช่น เลเซอร์รอยแดงสิว ไม่สามารถใช้รักษารอยหลุมสิวได้ เลเซอร์ปานดำไม่สามารถรักษาปานแดงได้
ความเชื่อ 7 : หลังทำเลเซอร์ต้องเลี่ยงแดดเสมอ ไม่งั้นจะหน้าดำ
ความจริง 7 : หลังทำเลเซอร์ชนิดมีแผลต้องหลบเลี่ยงแดดอย่างเคร่งครัด แต่ถ้าทำเลเซอร์ชนิดไม่มีแผล ไม่จำเป็นต้องเลี่ยงแดด ใช้ชีวิตตามปกติได้
 ความเชื่อ 8 : การทำเลเซอร์บ่อย ๆ จะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังในอนาคต
ความจริง 8 : การทำเลเซอร์บ่อย ๆ ไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง การโดนแดดบ่อย ๆ ต่างหากที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
 ความเชื่อ 9 : เด็กที่เป็นปานแดงตั้งแต่กำเนิด ควรรอจนกว่าจะโต จึงค่อยรักษาด้วยเลเซอร์
 ความจริง 9 : ปานแดงแต่กำเนิดบางชนิด ควรรักษาตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ ถ้าปล่อยให้เด็กยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่จะรักษายาก ปานจะนูนหนา ต้องรักษาหลายครั้ง
ความเชื่อ 10 : ฝ้าต้องรักษาด้วยเลเซอร์
ความจริง 10 : การรักษาหลักของฝ้าคือการทายาและครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง เลเซอร์สำหรับรักษาฝ้าจะใช้ในกรณีที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาเท่านั้น

ติ่งเนื้อ ปัญหาผิวกวนใจ


@DrWoraphong
ติ่งเนื้อเนื้อคือติ่งสีเนื้อขนาดประมาณ1-10มม. มักเริ่มจากขนาดเล็กแล้วค่อยๆโตขึ้นอาจมีสีเข้มขึ้น http://t.co/d0V4mqbe
ตำแหน่งที่มักพบติ่งเนื้อคือ รอบคอ รักแร้ ขาหนีบ ราวนม
ติ่งเนื้อเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง ติ่งเนื้อไม่ใช่มะเร็งและไม่กลายเป็นมะเร็งเพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัว
ติ่งเนื้อมักไม่มีอาการแต่ถ้าไปดึงหรือเสียดสีอาจมีอาการเจ็บหรือเลือดซึม
ติ่งเนื้อมักพบในคนอ้วน คนทีทมีประวัติกรรมพันธุ์ หญิงตั้งครรภ์
ติ่งเนื้อไม่จำเป็นต้องเอาออก ยกเว้นคนไข้รำคาญหรือเพื่อความสวยงาม
 วิธีเอาติ่งเนื้อออกมีหลายวิธีเช่นใช้กรรไกรขนาดเล็กตัดออกหรือตัดด้วยเครื่องจี้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์
ก่อนการตัดหรือเลเซอร์ต้องทายาชาทิ้งไว้1ชั่งโมงเพื่อลดอาการเจ็บขณะทำการรักษา
แผลหลังการเอาติ่งเนื้อออกมีขนาดเล็กมากมักหายใน1สัปดาห์
ติ่งเนื้ออาจพบร่วมกับกระเนื้อคือเป็นตุ่มสีน้ำตาลผิวขรุขระ กระเนื้อก็ไม่ใช่มะเร็งเช่นกัน ดูรูปกระเนื้อ http://t.co/NIcOA8Wk

ฝ้า.. ปัญหาผิวอมตะของหญิงไทยและหญิงเอเชีย


@DrWoraphong
ฝ้าเป็นรอยคล้ำที่พบได้บ่อยในชาวเอเชียอย่างเรา มักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เชื่อว่าฮอร์โมนเพศหญิงที่ส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อฝ้า
หญิงไทยจำนวนไม่น้อยที่มีปัญหาฝ้า ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่นอนว่าฝ้ามีเกิดจากอะไร ฝ้ามักเกิดขณะตั้งครรภ์ ขณะกินหรือฉีดยาคุมกำเนิด
แสงแดด และแสงจากเตาไฟก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าหรือทำให้ฝ้าที่เป็นอยู่มีสีเข้มขึ้น

อย่าเหมาไปว่ารอยคล้ำที่พบบนหน้าจะเป็นฝ้าเพียงอย่างเดียว ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลที่ไม่นูน มักพบบนหน้าในลักษณะการกระจายตัวที่สมมาตรกัน
ตำแหน่งที่พบบ่อยได้แก่ หน้าผาก โหนกแก้ม คาง และบริเวณเหนือริมฝีปากบน ดังรูป http://t.co/bPB3fuwp

รอยคล้ำชนิดอื่น ๆที่พบบ่อยบนใบหน้าแต่ไม่ใช่ฝ้า ที่ทำให้เราสับสน เช่น กระแดด กระเนื้อ และกระลึก
หมอจำเป็นต้องแยกให้ออกว่ารอยคล้ำนั้น ๆเป็นฝ้า กระแดด กระเนื้อ หรือกระลึกเพราะแต่ละรอยคล้ำเหล่านี้มีวิธีการรักษาที่ต่างกัน
กระแดด เป็นจุดเล็กๆขนาด1-4มิลลิเมตร กระจายบริเวณหน้า ไม่เป็นปื้นใหญ่เหมือนฝ้าและไม่กระจายตัวแบบสมมาตรดังรูป http://t.co/4UzR8gIx

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาฝ้าให้หายขาด อย่าเชื่อคำโฆษณาว่ารักษาฝ้าได้ การรักษาช่วยให้ฝ้าจางชั่วคราวเท่านั้น ฝ้ามักกลับเป็นซ้ำเมื่อหยุดรักษา
ในปัจจุบันวิธีมาตรฐานที่ใช้ในการรักษาฝ้าที่ได้ผลและปลอดภัยที่สุดคือ การทายา /ยาทารักษาฝ้ามีหลายชนิด
ยาทาบางชนิดออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่น ไฮโดรควิโนน กรดอะเซลาอิก
ยาบางชนิดออกฤทธิ์เร่งให้หนังกำพร้าผลัดตัวหลุดลอกเร็วขึ้นเพื่อให้เม็ดสีส่วนเกินหลุดลอกไปด้วย เช่น กรดเรทิโนอิก (กรดวิตะมินเอ)
การใช้ยาทาฝ้าที่ว่ามานี้ควรใช้ภายใต้การติดตามดูแลของแพทย์ ไม่ควรซื้อมาใช้เองเพราะอาจเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้
ยารับประทานหรือยาฉีดที่เรามักได้ยินว่าใช้รักษาฝ้ายังไม่มีข้อมูลผลงานวิจัยยืนผลการรักษาและความปลอดภัยในคนกลุ่มใหญ่พอ

การลอกหน้าด้วยน้ำยาเคมี (Chemical peel) เป็นอีกหนึ่งการรักษาที่มักใช้ร่วมกับการทายา
การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion) การทำไอออนโตฟอเรซิส เป็นต้น แต่ก็ยังไม่มีวิธีใดที่ได้ผลดีและรักษาฝ้าให้หายขาดได้
ยังไม่มีเลเซอร์ระบบใดที่สามารถรักษาฝ้าได้ผลดี และสามารถทำให้ฝ้าหายขาดได้
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เลเซอร์อาจทำให้รอยคล้ำของฝ้ามีสีเข้มขึ้น หรือทำให้รอยฝ้ากลายเป็นสีกระดำกระด่าง ดูเด่นชัดมากขึ้น
ผู้ป่วยส่วนน้อยมากๆที่ฝ้าจางลงหลังเลเซอร์ และในรายที่ฝ้าดีขึ้นเกือบทุกรายฝ้าจะกลับเป็นซ้ำหลังหยุดการรักษา
ผลการรักษาฝ้ามักคงอยู่ชั่วคราว ฝ้ามักกลับเป็นซ้ำเมื่อหยุดการรักษา หรือบ่อยครั้งฝ้าก็อาจเข้มขึ้น ทั้ง ๆที่ยังรักษาอยู่
สิ่งที่ผู้ป่วยอาจช่วยตัวเองได้คือการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น เช่น การตากแดด การรับประทานยาคุมกำเนิด
ท้ายสุดสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือหลบแดดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ

ผื่นจากแมลงด้วงก้นกระดก


@DrWoraphong
ผื่นอักเสบจากด้วงก้นกระดกพบบ่อยในฤดูฝน เพราะพบด้วงชนิดนี้มากกว่าฤดูอื่นๆ http://t.co/EbQqzKzn
ด้วงชนิดนี้เวลาเกาะอยู่เฉยๆจะกระดกก้นขึ้นจึงได้ชื่อว่าด้วงก้นกระดก ขนาดตัวโดเต็มที่ไม่เกิน 1X10 มม. http://t.co/CB82GitO
ตัวด้วงก้นกระดกมีสารพิษในท้อง ปกติแมลงชนิดนี้จะไม่กัดต่อยและไม่ปล่อยสารพิษออกมาเอง
สารพิษในตัวด้วงก้นกระดกจะทำอันตรายต่อผิวก็ต่อเมื่อแมลงถูกตบหรือบี้แล้วสารพิษในตัวแตกมาสัมผัสกับผิว
แมลงชนิดนี้มักชอบบินเล่นไฟขณะที่เราเปิดไฟเมื่อเราปิดไฟเข้านอนแมลงจะบินลงมาไต่ตามตัวทำให้เรารู้สึกว่ามีตัวอะไรมาไต่ขณะปิดไฟนอน
โดยสัญชาตญาณเมื่อมีตัวอะไรมาไต่ที่ผิวเรามักจะเอามือปัดออกจึงทำให้ท้องของตัวด้วงแตกและสารพิษมาสัมผัสผิวของเรา
ประวัติของผื่นจากด้วงก้นกระดกจะClassicมาก คนไข้ส่วนใหญ่มักให้ประวัติว่าก่อนเข้านอนไม่เห็นมีอะไรพอตื่นนอนมาเพิ่งเริ่มเห็นผื่นแสบแดง
ลักษณะผื่นจะเป็นทางยาวบวมแดงลากไปตามแนวมือปัดเพราะเมื่อมือตบหรือปัดแมลงแล้วมักลากสารพิษเป็นแนวยาว ผื่นมีอาการแสบคัน
บนผื่นแดงอาจมีตุ่มหนองขนาดเล็กๆเรียงเป็นแนวยาว ผิวเหนือรอยแดงอาจเป็นรอยไหม้สีน้ำตาล ตุ่มหนองหรือรอยไหม้เป็นบริเวณที่สัมผัสสารพิษเยอะสุด
ผื่นที่บริเวณข้อพับมักเป็นรอยที่สมมาตรกันเพราะสารพิษจากข้างหนึ่งไปสัมผัสผิวอีกข้าง http://t.co/fk3TwZwX
จำนวนผื่นอาจมีหลายตำแหน่งถ้ามีแมลงหลายตัว ผื่นบริเวณผิวอ่อนๆเช่นใบหน้ามักมีอาการบวมแดงรุนแรงมากกว่าที่อื่น http://t.co/0d7DUT55
ผิวบริเวณฝ่ามือหนากว่าผิวบริเวณอื่น สังเกตว่ามือปัดตบแมลงสัมผัสสารพิษเต็มๆแต่มักไม่มีผื่น
ผื่นจะบวมแดงมากในวันที่2-3หลังถูกแมลง มักมีอาการแสบและคันมาก
วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากรู้ตัวว่าสัมผัสกับสารพิษจากแมลงคือล้างน้ำฟอกสบู่ที่ผิวเพื่อล้างสารพิษออกให้มากที่สุด
ผื่นมักมีอาการอักเสบบวมมากควรพบหมอ ถ้าไม่รักษาผื่นจะบวมแสบคันมากการเกาอาจทำให้ติดเชื้อแบดทีเรียซ้ำเติมได้
หมอมักรักษาด้วยครีมทาสตีรอยด์และให้รับประทานยาแก้แพ้
ผื่นอักเสบมักหายหลังทายาไม่เกิน1สัปดาห์ แต่บางรายที่ผิวอักเสบรุนแรงอาจทิ้งรอยคล้ำไว้ประมาณ1-2เดือน
ลักษณะผื่นจะเป็นทางยาวบวมแดงลากไปตามแนวมือปัดเพราะเมื่อมือตบหรือปัดแมลงแล้วมักลากสารพิษเป็นแนวยาว ผื่นมีอาการแสบคัน http://t.co/hZxW3BTe

วิธีทาครีมบนผิวหนังที่ถูกต้อง.. คุณทาครีมถูกวิธีไหม?


@DrWoraphong
ก่อนทาครีมบนผิวควรซับผิวให้แห้งเพราะน้ำที่อยู่บนผิวจะเจือจางความเข้มข้นของครีม
การทาครีมส่วนใหญ่จะใช้ปลายนิ้วเพื่อแตะครีมแล้วมาทาบนผิว ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้พันสำลีในการทาครีม
ปริมาณครีมทาบนผิวหนังที่เหมาะสมคือการใช้ครีมปริมาณที่น้อยที่สุดที่สามารถครอบคลุมพื้นที่ที่ต้องการทา
เวลาทาครีมให้ลูบเบาๆจนเนื้อครีมทั้งหมดซึมเข้าผิว ไม่จำเป็นต้องถูไปมานานๆหรืแแรงๆ
การโปะครีมปริมาณมากแล้วเหลือบนผิวเหมือนหน้าขนมเค้กเป็นวิธีทาที่ไม่ถูกต้องเพราะเปลืองและไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพของครีมแถมยังดูไม่สวยอีก
เวลาทาครีมอย่าถูไถผิวรุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวอักเสบหรือเกิดสิวหินที่เห็นเป็นเม็ดขาวเล็กๆบนผิว
การทาครีมหลายๆชนิดทับกันในคราวเดียวกันควรรอสัก1-2นาทีให้ครีมตัวแรกแห้งสนิทก่อนทาอีกตัวทับ
การทาครีมบริเวณที่ผิวอ่อนเช่นรอบดวงตา,ซอกพับ,ขาหนีบ,อวัยวะเพศควรใช้ครีมปริมาณน้อยเพราะเกิดการระคายเคืองง่าย
ควรหลีกเลี่ยงการสครับและถูกผิวแรงๆเพราะอาจทำให้ผิวอักเสบ,สิวหินและรอยคล้ำได้
การทาครีมหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆจะทำให้ครีมซึมลงผิวได้มากกว่าผิวปกติ
เมื่อทาครีมแล้วเกิดอาการผื่นบวมแดงและคันแสดงว่าอาแพ้ครีมให้ล้งออกด้วยการฟอกสบู่อ่อนแล้วล้างน้ำและไปพบแพทย์ถ้าไม่ดีขึ้น
.
@DrRungsima

ครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมกับวัยค่ะ
วัยรุ่น (15-25ปี) วัยนี้ผิวพรรณยังสดใส ไม่ต้องการอะไรมากนัก เพียงทาครีมบำรุงผิวที่เน้นให้ความชุ่มชื้นเป็นหลักกับครีมกันแดดก็เพียงพอแล้ว
วัยรุ่น สิ่งสำคัญคือการล้างหน้าให้สะอาด ทาครีมให้ความชุ่มชื้น และทากันแดดเพื่อป้องกันแสงแดดตั้งแต่อายุน้อย จะได้ไม่มีจุดด่างดำและริ้วรอย
วัยทำงาน (25-40ปี) จะต้องพบมลภาวะทั้งจากสภาพอากาศ ฝุ่นละออง และความเครียดจากการทำงาน ควรเน้นการการป้องกันด้วยครีมบำรุงผิวและกันแดด
วัยทำงาน วัยนี้อาจเริ่มมีปัญหาและริ้วรอยเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจจำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงเฉพาะที่ เช่น ครีมรอบดวงตา day cream และ night cream
วัยทำงาน ควรเริ่มมีการบำรุงผิว โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เป็นกรดอ่อนๆ เพื่อลดปัญหาความแห้งกร้าน หรือรูขุมขนที่ขยายใหญ่ขึ้น
วัยผู้ใหญ่ (>40ปี) เริ่มมีความเสื่อมของผิวหนังมากขึ้น สังเกตได้จากความหย่อนคล้อย ริ้วรอย ตีนกา ร่อยย่นหน้าผาก ขมวดคิ้ว ร่องแก้มจะเห็นชัด
วัยผู้ใหญ่ การบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวอาจไม่เพียงพอ อาจต้องฟื้นฟูร่างกายจากภายในด้วย เช่น การกินอาหารให้ครบ5หมู่ การออกกำลังกาย การดื่มน้ำ
วัยผู้ใหญ่ อาจต้องใช้วิธีต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะส่วน เช่น เลเซอร์ botulinum toxin fillers คลื่นความถี่วิทยุ ฯลฯ ซึ่งขึ้นกับแต่ละบุคคล


ผิวหนังของเรามีการดูดซึมได้จำกัด ดังนั้นถ้าต้องการทาครีมหลายตัว ต้องมีวิธีการทาที่ถูกต้อง เพื่อให้ผิวหนังได้รับประโยชน์จากครีมให้มากที่สุด
เพื่อให้ผิวหนังมีการดูดซึมครีมได้เพิ่มขึ้น ควรทาครีมหลังการล้างหน้าทันที เพราะผิวหน้าที่เปียกจะทำให้ผิวดูดซึมครีมอย่างมีประสิทธิภาพ
การทาครีมในขณะที่หน้ายังเปียกอยู่ จะทำให้ความเข้มข้นของเนื้่อครีมลดลง และลดประสิทธิภาพของครีมได้ จึงควรซับหมาด ๆ ก่อนทาครีมบนหน้า
ถ้าต้องการทาครีมหลายตัว ให้ทาครีมที่มีความสำคัญที่สุดก่อน เช่น ทายาก่อนทาครีมบำรุงผิวทั่วไป และเว้นระยะห่างระหว่างครีมแต่ละตัว > 10 นาที
การนวดหน้าภายหลังการทาครีม ไม่เพิ่มปริมาณการดูดซึมครีมเข้าสู่ผิวหน้า แต่การทายาหรือโลชั่นบนหนังศีรษะ การนวดจะเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมได้

ร้อยไหม สวยเสี่ยงภัย อาจเสียใจตลอดชีวิต


@DrWoraphong
ในปัจจุบันมีกระแสโฆษณาในการร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิว (thread lifting) ในสื่อต่าง ๆ อย่างแพร่หลายจนทำให้ผู้ป่วยเกิดความหลงเชื่อและเข้าใจผิด
การพิจารณาการรักษาทุกชนิดควรดูที่ผลของการรักษาที่ปลอดภัยและถูกต้องตามมาตรฐานสากล
ขอชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องการร้อยไหมเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับผู้ที่สนใจการยกกระชับผิวด้วยวิธีการดังกล่าว

การร้อยไหมเพื่อยกกระชับเริ่มมีการใช้มาประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา  ไหมที่ใช้ในระยะแรกเป็นไหมชนิดมีเงี่ยงซึ่งทำหน้าที่เสมือนหมุดยึดตรึงไหม
ส่วนไหมที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันเป็นไหมชนิดไม่มีเงี่ยง ไหมชนิดนี้มักผลิตจากสารชื่อโพลีไดออกซาโนน(Polydioxanone; PDO)
ไหมโพลีไดออกซาโนน(Polydioxanone; PDO)เป็นสารที่สามารถละลายตัวได้เองภายใน 6-8 เดือน
การร้อยไหมโพลีไดออกซาโนนหรือPDOเพื่อยกกระชับผิวที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้เป็นวิธีการยกกระชับผิวที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลี
การร้อยไหมPDOยังไม่ได้รับรองเพื่อใช้สำหรับยกกระชับผิวในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศในทวีปยุโรป
ไหมPDOได้รับการอนุญาตการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้นำเข้ามาเพื่อใช้สำหรับเย็บแผลแต่ไม่ได้รับอนุญาตใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการยกกระชับผิว

การร้อยไหมPDOมักใช้เส้นไหมขนาดความยาวตั้งแต่ 2.5-6 เซ็นติเมตร จำนวนตั้งแต่ 20 ถึงกว่าร้อยเส้นสอดเข้าไปในผิวหนังผิวหนังหลังจากการทายาชา
หลังการร้อยไหมผิวจะมีอาการบวมแดงและมีรอยช้ำตามแนวการสอดไหมซึ่งรอยเหล่านี้มักหายใน 1-2 สัปดาห์
เชื่อว่าการสอดไหมเข้าผิวหนังจะกระตุ้นให้ผิวสร้างเส้นใยคอลลาเจนขึ้นใหม่ตามแนวการสอดเส้นใยคอลลาเจนใหม่นี้จะช่วยให้ผิวหนังมีความกระชับขึ้น
ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์(evidence-based)ทางการแพทย์ที่ยืนยันว่า การร้อยไหมสามารถทำให้ผิวหนังเกิดการยกกระชับได้จริง
และไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันว่าผิวหนังจะสามารถคงสภาพการกระชับได้นานแค่ไหนหลังการร้อยไหม
การทบทวนข้อมูลทางการแพทย์พบรายงานผู้ป่วยเพียง2-3ฉบับที่พบว่าการร้อยไหมชนิดมีเงี่ยงสามารถทำให้ผิวดูกระชับขึ้นในช่วงเดือนแรกหลังการร้อยไหม
แต่ผิวจะหย่อนกลับสู่สภาพเดิมในระยะเวลาต่อมา การที่ผิวดูกระชับขึ้นในช่วงแรกเชื่อว่าเกิดจากการที่ผิวเกิดการบวมและอักเสบจากการสอดไหม

ผลข้างเคียงการร้อยไหมชนิดมีเงี่ยงที่เคยมีผู้รายงานไว้ได้แก่ การเกิดผิวหนังบวมแดงเนื่องจากการแพ้ไหม/การเห็น/คลำได้ปมไหม/ปลายไหมโผล่ หรือการเกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง/ผิวหนังสองข้างกระชับไม่เท่ากัน
ยังไม่มีการรายงานผลข้างเคียงของการร้อยไหมPDOชนิดไม่มีเงี่ยงในวารสารทางการแพทย์
แต่จากการสอบถามข้อมูลจากแพทย์ผิวหนังพบมีผู้ป่วยที่มาด้วยอาการเป็นเส้นนูนแดงตามแนวเส้นไหมซึ่งเชื่อว่าเป็นอาการของการแพ้ไหม
นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยที่มาพบเพราะคลำหรือสัมผัสเส้นไหมบริเวณผิวได้ซึ่งเกิดจากการร้อยไหมในระดับตื้นเกินไป
ใน2เดือนที่ผ่านมาที่ศิริราชพบผู้ป่วยที่เกิดบวมตุ่มแดงไม่เจ็บไม่คันตามแนวไหม3รายยังไม่แน่ว่าเป็นอาการแพ้ไหมหรืออาการติดเชื้อ
จึงขอให้ผู้ที่สนใจการยกกระชับผิวด้วยวิธีการร้อยไหมดังกล่าวได้ศึกษาข้อดีข้อเสียของวิธีการนี้ให้ดีก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา

อันตรายจากการสักขอบตา + เลเซอร์ลบรอยสักได้หมดจดจริงหรือ


@DrWoraphong
ปัจจุบันผู้หญิงบางท่านนิยมวิธีสักขอบตาให้ดำถาวรเพื่อให้ดูเป็นผู้หญิงตาหวาน ตาคมโตซึ่งมีการโฆษณาในหนังสือบันเทิง ดาราและในเว็บไซต์จำนวนมา
การสักทำโดยการใช้วัสดุแหลมคมและสีสักที่บริเวณขอบตาชิดกับขนตาทั้งขอบตาบนและล่าง เสี่ยงเกิดอันตรายต่อดวงตา เพราะเป็นจุดที่อยู่ใกล้ตามากๆ
ผิวหนังรอบดวงตาบริเวณที่มีผิวหนังค่อนข้างบอบบางหากเทียบกับผิวหนังบริเวณอื่นของร่างกาย และมีโอกาสเกิดการแพ้และเกิดแผลเป็นได้ง่ายกว่า
ระหว่างทำการสัก อาจพลั้งพลาดเช่นเข็มสักแทงเข้าตาขาวหรือสีที่ใช้สักกระเด็นเข้าไปในดวงตา สารเคมีที่อยู่ในสี อาจทำให้เยื่อบุตาขาวอักเสบได้
หากใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาดเพียงพอก็อาจจะทำให้เกิดผิวรอบตา มีอาการคัน ระคายเคือง จากการติดเชื้อหรือจากการแพ้หมึกที่ใช้สักก็ได้
หากเผลอขยี้ตา อาจจะทำให้เกิดแผลที่แก้วตาดำ และเชื้อลุกลามเข้าไปในลูกตา ทำให้อักเสบหรือติดเชื้อรุนแรง อาจทำให้ตาบอดตลอดชีวิต
ประชาชนส่วนใหญ่ที่นิยมการสักมักจะคิดว่าเมื่อสักไปแล้วหากไม่ชอบก็ลบรอยสักออกได้ง่ายๆเนื่องจากในปัจจุบันมีวิทยาการลบรอยสักด้วยการยิงเลเซอร์
ที่จริงการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ยากกว่าการสักมาก ต้องยิงเลเซอร์ร่วมสิบครั้งจึงจะสามารถทำให้รอยสักจางลงเป็นที่พอใจ
หลังยิงเลเซอร์จะมีแผลบวมแดง 2 วัน และมีสะเก็ดอยู่ 1 สัปดาห์
ก่อนยิงเลซอร์ต้องฉีดยาชาบริเวณเปลือกตา ซึ่งการฉีดยาชาตรงตำแหน่งนี้เจ็บมาก
ระหว่างการยิงเลเซอร์แพทย์ต้องใส่เลนส์เข้าไปในลูกตาเพื่อป้องกันอันตรายจากเลเซอร์เข้าตา
ควรตัดสินใจให้ดีก่อนที่จะทำการสักลงในตำแหน่งใดๆในร่างกาย เพราะสักง่ายแต่ลบยากกก
.

@DrWoraphong: หลายท่านคงเคยได้ยินมาว่า ปัจจุบันเราสามารถลบรอยสักได้ด้วยเลเซอร์ และหลายคนคงคิดว่าการลบรอยสักด้วยเลเซอร์คงง่ายพอ ๆกับการสัก
การลบรอยสักด้วยเลเซอร์จะต้องทำเลเซอร์หลายครั้งกว่ารอยสักจะจางหายไป และการทำเลเซอร์แต่ละครั้งจะความรู้สึกเจ็บไม่น้อยกว่าการสักเลยครับ
ในปัจจุบันเลเซอร์ถือว่าเป็นเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้สำหรับลบรอยสัก เพราะเป็นวิธีที่ให้ผลการรักษาที่ดีที่สุดและเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด
ที่ว่าเลเซอร์เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเลเซอร์จะสามารถลบรอยสักออกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์โดยไร้ร่องรอย
โดยส่วนใหญ่แล้วรอยสักมักจะจางลงได้มากสุดประมาณ 90-95% หลังเลเซอร์ประมาณ 5-10 ครั้ง
โดยปกติจะต้องทิ้งระยะห่างระหว่างการเลเซอร์แต่ละครั้ง 2-3 เดือน ต้องใช้เวลาอย่างน้อยเป็นปีกว่าที่จะลบรอยสักให้จางลงในระดับที่น่าพอใจ
ความยากง่ายของการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ขึ้นกับ: วิธีการสัก สีของรอยสัก ประสิทธิภาพของเครื่องเลเซอร์ เทคนิควิธีการทำเลเซอร์และความชำนาญของแพทย์
รอยสักที่สักโดยช่างสักมืออาชีพจะลบยากกว่ารอยสักที่สักโดยหมอพระ หรือหมอลงคาถาอาคม
รอยสักสีดำ และสีน้ำเงินลบออกง่ายที่สุด ส่วนสีเหลืองและสีเขียวลบออกค่อนข้างยาก
การลบรอยสักที่มีหลายสีจำเป็นต้องใช้เลเซอร์มากว่าหนึ่งชนิด เลเซอร์แต่ละชนิดจะสามารถลบรอยสักแต่ละสีที่แตกต่างกัน
ท่านผู้กำลังคิดที่จะสักควรคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะทำการสัก การสักอาจเป็นแฟชั่นหรือความสวยงามที่ฮิตหรือนิยมทำเมื่อท่านอยู่ในช่วงวัยหนึ่ง...
แต่เมื่อวัยนั้นได้ผ่านพ้นไปท่านอาจไม่ต้องการรอยสักนั้น หรือรอยสักอาจจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน อาชีพ หรือการเข้าสังคมของท่านในอนาคต
แต่เมื่อวัยนั้นได้ผ่านพ้นไปท่านอาจไม่ต้องการรอยสักนั้น หรือรอยสักอาจจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน อาชีพ หรือการเข้าสังคมของท่านในอนาคต
ระดับราคาค่าใช้จ่ายในการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเช่น สถานที่ที่ทำ คุณภาพของเครื่องเลเซอร์ และประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำเลเซอร์
ตัวอย่างเช่น รอยสักขนาดเท่าเหรียญสิบบาทมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500 ถึง 4,000 บาทต่อการลบหนึ่งครั้ง

การรักษาสิวอักเสบหรือสิวหัวช้างด้วยวิธีโฟโต้ไดนามิกส์ (Photodynamic Therapy)


@DrWoraphong
การรักษาสิวอักเสบหรือสิวหัวช้างด้วยวิธีโฟโต้ไดนามิกส์ (Photodynamic Therapy) หรือที่เรียกสั้นๆว่า PDT
ยา Roaccutane นับเป็นยาที่ใช้รักษาสิวอักเสบมากและสิวหัวช้างได้ดี แต่มีผลข้างเคียงสูง ยาอาจทำให้ตับอักเสบหรือไขมันในเลือดสูง ต้องตรวจเลือด
นอกจากนี้ยา Roaccutane ยังทำให้หน้าแดง  ปากแห้ง ปากแตก ผิวแห้ง หรือแม้กระทั่งเวลาแต่งหน้าแล้วก็ดูไม่เรียบเนียน
หลักการในการรักษาวิธี PDT คือการใช้ตัวยา Amino-Levolunic Acid (ALA) บนผิวบริเวณที่เป็นสิวแล้วทิ้งไว้ 45 นาที
ยา ALA ที่ทาเป็นสารไวแสงซึ่งจะซึมไปจับบริเวณต่อมไขมันและเชื้อแบคที่เรียที่ก่อให้เกิดสิว
เมื่อ ALA ทำปฎิกริยากับแสงจะทำให้เกิดกระบวนการทางเคมีซึ่งทำให้เกิดอนุมูลอิสระในการทำลายเชื้อแบคทีเรียสิวอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
อีกทั้งยังทำให้ต่อมไขมันฝ่อตัวจึงทำให้ร่างกายผลิตไขมันบนใบหน้าได้น้อยลงด้วย
วิธีรักษาสิวอักเสบด้วย PDT ต้องทำทุก 1-2 อาทิตย์ติดต่อกัน 4-5 ครั้ง
PDT เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้มีปัญหาสิวอักเสบเรื้อรังและดื้อยา หรือท่านที่ไม่อยากเสี่ยงกับผลข้างเคียงของการรับประทานยา
แต่ PDT มีข้อควรระวังอีกประการ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการรักษาควรหลบเลี่ยงแสงแดดเพราะอาจทำให้ผิวหน้าคล้ำขึ้นได้
.
ประสบการณ์รักษาสิวด้วย Photodynamic Therapy

สู้ศึกสิว.. กันอีกสักที กับ Photodynamic Therapy o=(>_< )o
http://wan-nam.com/fight-w-acne/

กลากจากสัตว์เลี้ยง??? ไม่นะ!



@DrWoraphong
มีใครที่เลี้ยงสัตว์แล้วมีผื่นเป็นกลากบ้าง?
เชื้อราที่ผิวมีลักษณะเป็นวงสีแดงคล้ายวงแหวนมักมีขุยบริเวณขอบ มักมีอาการคัน กระจายได้ทั่วตัว
คนติดเชื้อราที่ผิวได้จาก 2 แหล่งคือจากสัตว์ที่มีขนและจากพื้นดิน
สัตว์ที่มีเชื้อราที่ผิวและติดต่อคนได้เช่น สุนัข แมว กระต่าย
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเชื้อราในสัตว์จะต้องเห็นผิวหนังคล้ายสุนัขขี้เรื้อน
ส่วนใหญ่แล้วสัตว์เลี้ยงในบ้านที่เป็นเชื้อรามักเป็นชนิดไม่รุนแรงและมัดหลบตามอุ้งเท้ หรือซอกคอและหู เรามักละเลยและไม่สังเกต
การติดเชื้อรามักเกิดจากการสัมผัสรอยโรคโดยตรงเช่น กอด อุ้ม หรือกินนอนร่วมกัน หรือสัตว์นั่งนอนเล่นบนเตียงหรือโซฟา
ถ้าไม่แน่ใจให้นำสัตว์ไปตรวจกับสัตวแพทย์
เชื้อราที่ผิวรักษาด้วยยาทาถ้าเป็นไม่มาก ถ้ากระจายทั่วตัวต้องรักษาด้วยยารับประทาน

Re-birth skin ผิวเกิดใหม่ สร้างได้? แล้วFractional laser/RF/เทอร์มาจ/Ultheraล่ะ


@DrWoraphong
วันก่อนมีคนมาสัมภาษณ์วิธี Re-birth skin เขาให้บอกวิธี สร้างผิวให้กลับเป็นเด็ก
ใครที่มี ริ้วรอยgหี่ยวย่น  กระเนื้อ กระแดด และหน้าหย่อนคล้อย สิ่งเหล่านี้เป็นร่องรอยทำให้ดูแก่เกินวัย
ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่จะช่วยคืนความสดใสให้กับผิวคุณจนเหมือนย้อนวัยกลับไปสู่วัยเยาว์อีกครั้ง
ริ้วรอยเหี่ยวย่นส่วนใหญ่เกิดจากการเสื่อมสลายของคอลลาเจนที่ผิวหนังหรือการเสื่อมสลายของผิวหนังในระดับต้นๆ http://t.co/BEnmY1Gh
แต่ถ้าหน้าหย่อนคล้อยมักเกิดจากการเสื่อมสลายของคอลลาเจนในระดับที่ลึกขึ้น http://t.co/hYYILCx1

เทคโนโลยีในปัจจุบันที่สามารถปราบริ้วรอยได้คือ เลเซอร์ปรับสภาพผิว ระบบที่นิยมใช้กันคือ Fractional laser
Fractional laser เป็นเลเซอร์ที่ใช้ปรับสภาพผิวเป็นส่วนๆ โดยใช้ลำแสงเลเซอร์บีบเป็นจุดเล็กๆ
วิธีนี้จะช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวหนัง สมานแผลได้เร็วกว่า เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่า สามารถปรับสภาพผิวได้ประมาณ 5-10% ในแต่ละครั้ง
ข้อดีคือ มีแผลน้อย แผลหายภายใน 2-3 วัน หรือไม่เกิน 5-6 วัน มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อย มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อย
ข้อเสียคือ ต้องทำหลายครั้ง ประมาณเดือนละครั้ง และต้องทำติดต่อกัน  4-5 ครั้ง
หน้าหย่อนคล้อยเกิดจากการเสื่อมสลายของคอลลาเจนที่อยู่ลึก ดังนั้น การจะกระตุ้นให้ผิวหนังกระชับขึ้นจำเป็นต้องใช้ความร้อนที่สามารถลงไปให้ลึก
แต่แสงเลเซอร์ไม่สามารถทะลวงลงไปได้ลึกเพียงพอที่จะกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นลึกๆได้

Radiofrequency (RF) หรือคลื่นวิทยุ และ Focused ultrasound (คลื่นเสียง) ซึ่งจะสามารถทำงานในระดับที่ลึกกว่าแสงเลเซอร์

เทอร์มาจเป็นคลื่นวิทยุที่นิยมใช้กันมานาน หลังทำไปหนึ่งครั้งคนไข้ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้นโดยเฉพาะคนที่เริ่มมีความหย่อนคล้อยน้อยๆ
แต่เทอร์มาจอาจไม่ได้ผลกับคนที่อายุเกิน 60 ปี ที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อยมาก ซึ่งต้องอาศัยการผ่าตัดดึงหน้า (facelift)
ทั้งนี้เทอร์มาจต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือนจึงจะเห็นผล ข้อดีคือ ไม่มีบาดแผล ทำได้ทั้งใบหน้า ลำตัวและแขนขา
ข้อเสียคือ ในอดีตอาจเกิดรอยบุ๋มได้ถ้าใช้พลังงานสูงจนทำลายชั้นไขมัน ปัจจุบันจึงใช้พลังงานต่ำลง

อัลเธอรา (Ulthera) เป็นโฟกัสอัลตร้าซาวด์ใช้พลังงานของคลื่นเสียงที่เข้มข้นส่งพลังงานลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อพังผืด (SMAS) ที่ยึดคอลลาเจน
ข้อดีคล้ายกับเทอร์มาจคือ ไม่มีแผล ทำครั้งเดียวจะคงอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี สามารถช่วยยกกระชับหน้าที่หย่อนคล้อย และริ้วรอยย่นใต้คาง
ผลข้างเคียงของอัลเธอราที่เคยมีรายงานเช่น รู้สึกแปล๊บเป็นระยะๆในช่วงแรกหลังการรักษา ทำให้เส้นประสาทบางเส้นที่หน้าเกิดอันตรายได้ชั่วคราว

เทคโนโลยีลดจุดด่างดำ ปราบกระเนื้อหรือกระแดด ถ้ากระเนื้อเป็นกลุ่มเนื้องอก นิยมใช้เลเซอร์ CO₂ กระแดดใช้เลเซอร์กลุ่ม Q-switched เช่น YAG

eMatrix คืออะไร รักษาอะไรได้บ้าง


@DrWoraphong
eMatrix เป็นเทคนิคใหม่ในการรักษาริ้วรอยและแผลหลุมใน concept ที่ชื่อว่า Sublative
eMatrix เป็นเครื่องส่งคลื่นวิทยุ (RF) ลงผิวเพื่อกระตุ้นให้เกิดความร้อนเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
eMatrix ใช้ concept ที่เรียกว่า Sublative คือเกิดแผลบนผิวชั้นนอกน้อยแต่เกิดความร้อนในชั้นหนังแท้ลึกๆเยอะกว่า
concept ที่เรียกว่า Sublative เขาใช้เครื่อง RF ปล่อยพลังงานความร้อนที่หนังแท้และปล่อยพลังงานความร้อนเป็นจุดเล็กๆ
บริษัทเคลมว่ารูปแบบการส่งความร้อนที่ผิวเป็นเหมือนปิรามิดคือมีแผลน้อยที่ผิวชั้นนอกเป็นเหมือนยอดปิรามิดและเกิดความร้อนในปริมาณมากในหนังแท้
หลังการรักษาผิวจะแดงอยู่ 1 คืนและมีสะเก็ดบางๆในวันรุ่งขึ้น สะเก็ดมักหลุดใน2-3วัน
มักแนะนำให้ทำการรักษา 4-5 ครั้ง เดือนละ 1 ครั้ง ทั้งนี้แล้วแต่สภาพความรุนแรงของแผลหลุมหรือริ้วรอย
งานวิจัยรักษาหลุมสิวที่ รพ. ศิริราชพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ผิวเรียบขึ้น 25-50% หลังการรักษา 3-4 ครั้ง
หัวยิงของเครื่อง eMatrix เป็นสีทอง บางคลินิกหัวใสจึงตั้งชื่อว่าหัวทองคำซึ่งเป็นแผนการตลาดอย่างหนึ่ง http://t.co/mIYXWKgo
งานวิจัยรักษาแผลหลุมสิวที่ศิริราช ไม่พบผลข้างเคียงที่อันตราย ยกเว้นมีผู้ป่วย 2% ที่เกิดรอยคล้ำจางๆแล้วมักหายใน 2-3 สัปดาห์

กระลึกคืออะไร เหมือนฝ้าไหม รักษายังไง


@DrWoraphong
กระลึก หรือบางท่านเรียกว่ากระโฮริ (Hori) เพราะแพทย์ชาวญี่ปุ่นเป็นคนตั้งชื่อกระชนิดนี้
กระลึกมีลักษณะเป็นจุดราบสีน้ำตาลเข้มหรือน้ำตาลเทา มักพบรวมกันเป็นกลุ่มบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้างหรือบริเวณขมับ ดังรูป http://t.co/7mrkKwuG
โดยทั่วไปกระลึกจะเริ่มปรากฏตอนอายุประมาณ 20-30 ปี พบบ่อยในผู้หญิงชาวเอเชีย หญิงไทยจำนวนไม่น้อยมีกระลึกอยู่ที่โหนกแก้ม
ผู้ป่วยมักมีประวัติของสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงที่มีรอยโรคลักษณะเดียวกัน เช่น คุณแม่ พี่สาว ป้า
ยาทาและการลอกผิวด้วยกรด (Chemical peeling) ไม่สามารถรักษากระลึกได้ เพราะสีกระอยู่ลึกมากเกินกว่ายาจะเข้าถึง
กระลึกสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยเลเซอร์ระบบคิวสวิทช์ แต่ต้องทำเลเซอร์จำนวนหลายครั้ง
โดยส่วนใหญ่กระลึกต้องทำเลเซอร์มากกว่า 5 ครั้ง ระยะห่างระหว่างการรักษาแต่ละครั้งประมาณ 2-3 เดือน
ข้อดีของกระคือหลังรักษาจนหายหมดแล้วกระจะไม่เกิดเป็นซ้ำอีก
แต่ข้อเสียคือหลังเลเซอร์แต่ละครั้งมักเกิดรอยดำอยู่นาน 2-3 เดือนแล้วค่อยๆจางหายเอง รอยคล้ำมักเป็นปื้นคล้ายเป็นฝ้า
การวินิจฉัยกระลึกควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพราะดูคล้ายฝ้ามากจนแยกยาก และมีวิธีการรักษาต่างกัน
คนไข้บางคนเป็นฝ้าแล้วได้รับการวินิจฉัยผิดว่าเป็นกระลึก เอามาทำเลเซอร์ทำแล้วรอยคล้ำยิ่งแย่ลง เพราะฝ้าไม่ตอบสนองกับเลเซอร์

Wednesday, January 11, 2012

การใช้ LED เพื่อผิวใส กระตุ้นผมงอก และรักษาสิว

เทคโนโลยีที่จะมาแรงในปี 2555 นี้คือการฉายแสง LED เพื่อทำให้ผิวขาวใส และเพื่อกระตุ้นให้ผมงอกใหม่
การใช้ LED ทางผิวหนังใช้แสงหลายสี แต่ละสีใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างกัน แดง-ซ่อมแซมผิวหนัง, ฟ้า-ฆ่าเชื้อสิว, เขียว-ลดจุดด่างดำ, เหลือง-ลดรอยแดง
การฉายแสง LED เพื่อให้ผิวขาวใส ทำได้โดยใช้แสงสีเขียว แดง และเหลือง ฉายสลับกัน โดยต้องทำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ไปนาน 5-10 ครั้ง
ข้อดีของการทำให้ผิวขาวใสด้วย LED คือ ไม่เป็นอันตราย ผิวจะค่อยๆขาวใสขึ้น หลังการรักษา 2-3 ครั้ง ข้อเสียคือได้ผลเพียงชั่วคราว และต้องมาทำบ่อยๆ
การใช้แสง LED เพื่อกระตุ้นให้ผมงอก ใช้ได้ในคนที่มีผมบางจากกรรมพันธุ์ โดยฉายแสงสีเหลืองและแดงสลับกัน ต้องทำทุกสัปดาห์ อย่างน้อย 5-10 ครั้ง
ข้อดีของการรักษาผมบางด้วย LED คือไม่มีผลข้างเคียง แต่ต้องทำบ่อย และต้องใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่นการทายา หรือการกินยา
ในต่างประเทศเริ่มมีการนำเครื่อง LED ขนาดเล็กมาขายให้คนนำไปใช้เองที่บ้าน แต่ในประเทศไทยเครื่องเหล่านี้ยังไม่ได้การรับรองจาก อย.
มีการโฆษณาขายเครื่อง LED ที่ให้คนนำไปใช้เองที่บ้านได้ แต่ควรต้องระวังเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากแสง LED อาจทำอันตรายต่อสายตาได้ถ้าไม่ป้องกัน

การรักษาสิวแบบใหม่ล่าสุดที่จะมาแรงในปีนี้มี 2 อย่าง คือ photodynamic therapy และการฉายแสง LED สําหรับสิวอักเสบให้ดีขึ้นได้ใน 2 สัปดาห์
การฉายแสงLED รักษาสิว เป็นการรักษาสิวอักเสบแบบใหม่อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งฆ่าเชื้อสิวได้แต่ไม่ลดความมันบนใบหน้า สิวอักเสบส่วนใหญ่จะดีขึ้นใน1เดือน
การรักษาสิวด้วย LED ทําโดยการฉายแสงสีนํ้าเงินและแดงลงบนบริเวณที่เป็นสิว ครั้งละ20-30นาที สัปดาห์ละ1-2ครั้ง ติดต่อกันนาน1-2เดือน
ข้อดีของการรักษาสิวด้วยLEDคือราคาถูกกว่าการยิงเลเซอร์รักษาสิว และไม่มีปัญหาเรํ่องผิวหนังไวแสง แต่ต้องมาทําการรักษาบ่อยถึงสัปดาห์ละ1-2ครั้ง

การรักษาริ้วรอย หน้าใส ลดรูขุมขนและอื่นๆด้วย Fillers

Fillers หรือสารเติมเต็ม ใช้สําหรับลดริ้วรอย ร่องแก้ม เติมหลุมสิว แผลเป็น และใช้ปรับรูปหน้า เสริมจมูก แก้ม และคางได้
สารเติมเต็ม (Fillers) ชนิด hyaluronic acids เป็นสารที่ปลอดภัยสำหรับร่างกาย แต่จะสลายไปภายในระยะเวลา 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทที่เลือกใช้
การเติมฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้างจะเห็นผลอย่างชัดเจนทันทีหลังการรักษา แต่มีข้อเสียคือราคาแพง และอยู่ได้นานแค่ 3-6 เดือนเท่านั้น
การใช้ซิลิโคนเหลว น้ำมันพืช หรือสารที่ไม่ได้รับการรับรองจาก อย. ฉีดเข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ และเป็นอันตรายต่อร่างกาย
ภายในเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา มีคนไข้ตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมจมูกอย่างน้อย 2 ราย ซึ่งเกิดจากการฉีดเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา
การใช้เข็มฉีดฟิลเลอร์ชนิดปลายทู่ สามารถความเสี่ยงการฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดแล้วทำให้ตาบอดได้ แต่ไม่สามารถรับประกันได้ 100%
ขอบตาดำจากการมีผิวหนังใต้ตาบางเมื่ออายุมากขึ้น รักษาได้โดยการฉีดฟิลเลอร์ แต่ต้องระวังหากฉีดฟิลเลอร์ตื้นไป อาจเกิดก้อนสีน้ำเงินใต้ผิวหนังได้
ใต้ตาหรือขอบตาดำเกิดจากกรรมพันธุ์ การเป็นภูมิแพ้ ผิวหนังใต้ตาบางลงจากอายุที่เพิ่มขึ้นจนทำให้เห็นเส้นเลือดชัดขึ้น แต่ละสาเหตุจะรักษาต่างกัน
ขอบตาดำจากกรรมพันธุ์ ส่วนใหญ่พบในคนผิวคล้ำ การรักษาอาจใช้ยาทาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี การทาครีมบำรุง หรือใช้เลเซอร์สำหรับกำจัดเม็ดสี

มีสารเติมเต็ม (fillers) ตัวใหม่ที่ผ่านอย.แล้วเข้ามาขายในไทย ฟิลเลอร์ตัวใหม่นี้จะผสมยาชาเข้าไปด้วย ทําให้คนไข้เจ็บน้อยหรือไม่เจ็บเลยขณะฉีด
ถ้าใครเคยฉีดฟิลเลอร์มาแล้วคงจะรู้ว่าเจ็บขนาดไหน ถึงทายาชาก่อนฉีดแล้วก็ยังเจ็บมากอยู่ดี ดังนั้นการมีฟิลเลอร์ผสมยาชาจะช่วยบรรเทาความเจ็บได้มาก
แต่ข้อดีของฟิลเลอร์ผสมยาชาที่ดีกว่าฟิลเลอร์ทัั่วไปก็มีเพียงเจ็บน้อยกว่าเท่านั้น ผลข้างเคียงอื่นๆ จากการฉีดฟิลเลอร์ก็ยังเหมือนการฉีดทั่วไป

ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ (ถึงแม้ผ่านการรับรองจากอย.) คือการมีรอยชํ้า มีตุ่มหรือก้อนใต้ผิวหนัง ติดเชื้อ ที่ร้ายแรงที่สุดคือตาบอด
การตาบอดหลังการฉีดฟิลเลอร์เกิดจากการฉีดสารเข้าเส้นเลือดแทนที่จะเข้าไปอยู่ใต้ผิวหนัง ฟิลเลอร์จะเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา

มีฟิลเลอร์ปลอมระบาดในท้องตลาด ผู้บริโภคต้องระวังระยะหลังมีการนําสารที่ไม่ปลอดภัย เช่น ซิลิโคนเหลวและนํ้ามันมาฉีดแทนฟิลเลอร์ด้วย
โปรดสังเกตความแตกต่างกันของกล่องผลิตภัณฑ์ http://t.co/LS428qFu
เมื่อฉีดซิลิโคนเหลวหรือนํ้ามันเข้าสู่ร่างกาย สารเหล่านี้จะไม่สลาย อาจเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ และไหลลงสู่ผิวหนังบริเวณอื่นได้ ทําให้หน้าผิดรูป
ไม่สามารถกําจัดซิลิโคนเหลว พาราฟิน หรือนํ้ามัน ที่ถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายได้ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจึงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

Friday, January 6, 2012

สเตียรอยด์...อันตรายใกล้ตัว

ครีมสเตียรอยด์เป็นยาสำหรับรักษาผื่นผิวหนังหลายชนิด เช่น ผิวหนังอักเสบ ผื่นแพ้ และโรคผิวหนังบางโรค เช่น สะเก็ดเงิน ด่างขาว ผมร่วงเป็นหย่อม
ครีมสเตียรอยด์จะแบ่งเป็นระดับตามความแรงของยา ตั้งแต่ระดับความแรงน้อยไปจนถึงมาก การเลือกใช้จะดูตามอายุของคนไข้ บริเวณที่จะทา และโรคที่เป็น
เด็กอายุน้อยๆ และคนแก่อายุมากๆ มีผิวหนังบาง ควรใช้ครีมสเตียรอยด์ชนิดอ่อนเท่านั้น เพราะผิวหนังที่บางจะดูดซึมยาเข้าไปมาก และเกิดผลข้างเคียงได้
ถ้ามีผื่นผิวหนังบริเวณที่ผิวหนังบาง เช่น หน้า ควรใช้ครีมสเตียรอยด์ชนิดอ่อน แต่ถ้าเป็นบริเวณผิวหนังหนา เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ควรใช้ครีมชนิดแรง
โรคผิวหนังที่ไม่ควรใช้สเตียรอยด์ เพราะทำให้ผื่นเห่อได้ เช่น สิว การติดเชื้อรา ผื่นผิวหนังอักเสบบนหน้าที่เกิดจากการติดครีมสเตียรอยด์
เมื่อทาครีมสเตียรอยด์บ่อยๆ บนหน้าจะเกิดอาการติดสเตียรอยด์ เมื่อหยุดยาหน้าจะแดงมีสิวผดเกิดขึ้น ดังนั้นคนที่มีสิวผดขึ้นฉับพลันต้องหาสาเหตุ
ครีมทาหน้าขาวหรือครีมรักษาฝ้าบางตัวจะมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ด้วย เมื่อใช้ไปนานๆ อาจเกิดภาวะติดสเตียรอยด์ได้เช่นกัน และเมื่อหยุดจะเกิดสิวผดได้
(1) วิธีการทดสอบว่าครีมที่ใช้มีสเตียรอยด์เป็นส่วนผสมหรือไม่ ทำได้โดยทาครีมที่สงสัยบนท้องแขนแล้วปิดพลาสเตอร์ทิ้งไว้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
(2) แกะพลาสเตอร์ที่ปิดไว้ออก สังเกตสีผิวบริเวณที่ทาครีม ถ้าสีผิวจางกว่าสีผิวที่ไม่ได้สัมผัสยา ให้สงสัยว่าครีมนั้นมีสเตียรอยด์เป็นส่วนผสม
การรักษาการติดครีมสเตียรอยด์หรือสิวผดที่เกิดจากการติดครีมสเตียรอยด์ทำได้ยาก ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษา เนื่องจากต้องปรับยาอย่างใกล้ชิด
ผลข้างเคียงจากการใช้ครีมสเตียรอยด์ คือ การมีเส้นเลือดขยาย เป็นสิว ผิวหนังเป็นวงขาว หรือบุ๋มลงไป มีขนขึ้นมากผิดปกติบริเวณที่ทายา
ถึงแม้ครีมสเตียรอยด์จะรักษาโรคผิวหนังได้หลายโรค แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีก็จะเกิดผลเสียได้มาก ถ้าต้องใช้ยานานติดต่อกันเกิน 1 เดือน ควรปรึกษาแพทย์


วิธีดูแลผิวยามน้ำท่วม

เมื่อน้ำท่วมน้ำจะพาสิ่งสกปรก สารเคมี เชื้อโรคให้แพร่กระจายปนอยู่ในน้ำที่ท่วมขัง แมลงต้องหนีน้ำออกจากที่อยู่เดิมมาอยู่ในที่แห้งร่วมกับมนุษย์
โรคผิวหนังที่พบในภาวะน้ำท่วม เช่น น้ำกัดเท้า การติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราที่ผิวหนัง และโรคผิวหนังจากการสัมผัสแมลงและสัตว์มีพิษกัดต่อย
คนทั่วไปมักเข้าใจว่าน้ำกัดเท้าเกิดจากเชื้อราแต่ไม่เป็นจริงเสมอไป น้ำกัดเท้าเกิดจากการระคายเคืองของผิวหนังจากความเปียกชื้นและสารเคมีสิ่งสกปรก
น้ำกัดเท้าจะมีอาการผิวหนังเปื่อยลอก โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า มีผื่นแดง แสบคัน การหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำท่วมขัง จะช่วยป้องกันน้ำกัดเท้าได้
การรักษาน้ำกัดเท้าควรทายาแก้คัน แต่ไม่ควรใช้ยาฆ่าเชื้อราทาเพราะยาฆ่าเชื้อราบางชนิดทำให้ผิวหนังระคายเคืองมากขึ้น แสบ แดง ลอก คันมากขึ้นไปอีก
การติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ผิวหนัง มักเกิดตามหลังภาวะน้ำกัดเท้า เพราะผิวที่เปื่อยยุ่ย ทำให้เชื้อต่าง ๆ เข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น
คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ตับแข็ง โลหิตจางธาลัสซีเมีย ควรระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง เพราะจะรุนแรงลุกลามเร็วอันตรายถึงชีวิตได้
การติดเชื้อราที่ผิวหนังต้องทายาฆ่าเชื้อราต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือน แม้ว่าผื่นจะดีขึ้นแล้วก็ไม่ควรหยุดทายาก่อน 1 เดือน เพราะเกลับป็นซ้ำได้
คนที่เป็นเชื้อราที่ผิวหนังไม่ควรทำความสะอาดบริเวณที่เป็นด้วยยาทาฆ่าเชื้อโรคอื่น ๆ เช่น alcohol เพราะทำให้ผิวแห้งและคันมากขึ้น
ช่วงน้ำท่วมต้องระวังแมลงมีพิษเช่น ตะขาบ แมลงป่อง หรืองูพิษ ถ้าถูกกัดต่อยควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด ยาลดบวม
ถ้าสงสัยว่าสัตว์มีพิษกัดแล้วยังไม่สามารถไปพบแพทย์ได้ต้องสังเกตสีและปริมาณของปัสสาวะอย่างน้อย1วัน ถ้าปัสสาวะลดลงหรือเป็นสีแดงต้องพบแพทย์ด่วน
ถ้าสัมผัสถูกน้ำท่วมขัง ต้องทำความสะอาดผิวหนังบริเวณนั้นด้วยน้ำสะอาดและสบู่ หลีกเลี่ยงการลุยน้ำถ้ามีแผลที่เท้า พยายามให้ผิวหนังแห้งอยู่เสมอ
ขอเอาใจช่วยผู้ประสบอุทกภัยทุกคน หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทุกท่านดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ ซึ่งจะลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่จะตามมาได้

วิธีดูแลรักษาเรียวปาก

@DrRungsima การดูแลริมฝีปากและผิวหนังรอบปากก็เป็นเรื่องสําคัญ เพราะริมฝีปากสามารถบอกถึงอายุและสุขภาพของเจ้าของริมฝีปากนั้นได้
จุดด่างดําบนริมฝีปากป้องกันได้โดยการทาลิปมันผสมสารกันแดด และรักษาได้ด้วยเลเซอร์1-2ครั้ง แต่จะมีแผลหลังทําเลเซอร์อยู่นาน1สัปดาห์
ริมฝีปากดําพบในคนผิวคลํ้า เป็นโรคผิวหนังบางโรค จากการแพ้ลิปสติก ยาสีฟัน หรือนํ้ายาบ้วนปาก โดยลิปสติกที่มีอัตราการแพ้มากที่สุดคือสีแดง
ถ้ามีผื่นขาวหรือขุย/ฝ้าสีขาวบนริมฝีปาก โดยเฉพาะริมฝีปากล่าง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะอาจเป็นโรคผิวหนังที่ต้องการการรักษาเฉพาะก็เป็นได้
รอยเหี่ยวย่นของริมฝีปากแก้ได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ริมฝีปากเต่งตึงขึ้น แต่ต้องทําซํ้าทุก6-9เดือน ส่วนรอยย่นรอบริมฝีปากใช้botulinum toxin
หนวดหรือขนใต้ริมฝีปากล่าง กําจัดได้ด้วยเลเซอร์กํลจัดขน 5-8ครั้งทุก 4-6สัปดาห์ แต่ต้องระวังการเกิดการไหม้ เป็นสะเก็ดหลังทำเลเซอร์
อากาศหนาวริมฝีปากแห้งแตก ไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อยๆ เพราะนํ้าลายจะทําให้ปากยิ่งแห้งแตก บางครั้งอาจมีผื่นลามเกินขอบปากออกมาก็ได้ ควรทาลิปมันแทน

ลิปสติกแบบใหม่ที่โฆษณาว่าสีติดทนบนริมฝีปากนาน มักมีส่วนผสมของชันสน (Colophony) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ลิปสติกยึดเกาะบนริมฝีปากได้ดี
คนที่ทาลิปสติกประเภทที่สีติดทนนานอาจเกิดการแพ้ชันสนได้ โดยจะมีผื่นที่ริมฝีปาก มีอาการคัน หรือริมฝีปากเปลี่ยนสีเป็นสีคล้ำขึ้น
คนที่แพ้ลิปสติกสีติดทนนานมักจะแพ้ mascara, eyeliner, plaster ปิดแผล,ไหมขัดฟันด้วย เพราะของเหล่านี้มี colophony เป็นส่วนผสมเพื่อให้ยึดติดผิว