Pages

Subscribe:

Knowledge is Power

สะสมความรู้ได้ทุกวัน
Powered by Blogger.

Blog Archive

Friday, December 30, 2011

วิธีดูแลรักษามือ

ครีมทามือจะมีความเข้มข้นและมีส่วนผสมของนํ้ามันมากกว่าครีมทาตัว อีกทั้งยังให้ความชุ่มชื้นมากกว่า เพราะฝ่ามือไม่มีต่อมไขมันมือจึงแห้งกร้านง่าย
การล้างมือบ่อยๆทําให้มือแห้งแตก จมูกเล็บบวม เกิดการติดเชื้อราได้ง่าย ถ้าจําเป็นต้องล้างมือบ่อยๆ ให้มาครีมที่มือหลังล้างมือทุกครั้ง
มือที่เปียกจะทําให้ผิวหนังที่มืออ่อนแอ เมื่อสัมผัสกับสารระคายเคืองจะกระตุ้นให้เกิดการแพ้ระคายเคืองง่ายขึ้น คนที่ล้างจานหรือซักผ้าจะพบได้บ่อย
คนที่มีผื่นแพ้สัมผัสที่มือควรหลีกเลี่ยงการล้างมือบ่อยๆ และต้องทาครีมเป็นประจํา แต่ไม่ควรใช้ครีมที่โฆษณาว่าทําให้ขาวหรือลดความหยาบกร้านของมือ

การทําเล็บที่ร้านบ่อยๆ ทําให้จมูกเล็บอ่อนแอ ติดเชื้อรา ทําให้ขอบเล็บบวมแดงอักเสบได้
ถ้าร้านทําเล็บไม่ฆ่าเชื้อโรคที่อุปกรณ์ทําเล็บหลังให้บริการลูกค้าทุกราย จะเป็นแแหล่งแพร่กระจายเชื้อรา และโรคติดต่ออื่นๆได้
การแพ้ยาทาเล็บพบได้บ่อย แต่มักวินิจฉัยผิดเพราะผื่นอาจเกิดที่รอบดวงตา ไม่ใช่รอบเล็บ คนที่มีผื่นรอบตารักษาไม่หายต้องควรงดใช้ยาทาเล็บดูซักระยะ

มีโรคผิวหนังบางโรคที่มีอาการฝ่ามือหยาบกร้าน มีขุยลอกหนา ดังนั้นถ้าทาครีม งดล้างมือ แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์ตรวจเพิ่มเติม

ผิวหนังที่มือสามารถบอกอายุของคนเราได้ มือที่เหี่ยว หยาบกร้าน เห็นเส้นเลือดปูดโปน มีจุดด่างดำตามหลังมือ เป็นสิ่งที่แสดงอายุที่ชัดเจนที่สุด
การรักษามือที่เหี่ยวและหยาบกร้าน ทำได้โดยไม่ล้างมือบ่อยจนเกินไป ไม่ใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนล้างมือหรือล้างมือแล้วต้องใช้ moisturizer เป็นประจำ
จุดกระ หรือจุดด่างดำบนหลังมือ รักษาได้ด้วยการทำเลเซอร์สำหรับเม็ดสี 1-2 ครั้ง หรือการทำ treatment ด้วยกรดผลไม้ทุก 2-4 สัปดาห์ การทายาไม่ได้ผล
ความเหี่ยวย่นของมือ รักษาได้ด้วยเลเซอร์กรอผิวแบบตื้น ๆ การใช้คลื่นความถี่วิทยุ หรือการใช้เลเซอร์ลดริ้วรอยกระตุ้นคอลลาเจนโดยไม่ทำให้เกิดแผล
การใช้เลเซอร์รักษาความเหี่ยวย่นของมือ ควรทำอย่างน้อย 3 ครั้ง ทุก 1 เดือน จึงจะเห็นผลดีขึ้น 50-60% โดยต้องร่วมกับการใช้ moisturizer เป็นประจำ
เส้นเลือดที่ปูดโปนบนมือหรือรอยเหี่ยวย่นที่เป็นมากๆ รักษาได้ด้วยการฉีดสารเติมเต็ม(Fillers)เข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณหลังมือ จะอยู่ได้นาน9-12เดือน

Wednesday, December 28, 2011

วิธีดูแลผิวสำหรับผู้ชาย

ครีมกันแดดสําหรับผู้ชายควรมีเนื้อบางเบา ไม่เหนอะหนะ และลดส่วนผสมของ physical sunscreen ลง เพราะจะทําให้หน้าดูขาวลอยออกมาไม่เป็นธรรมชาติ
Moisturizer สําหรับผู้ชายควรมีสารควบคุมความมันเนื่องจากผู้ชายจะผลิตนํ้ามันมากกว่า ผู้หญิง และใช้โฟมล้างหน้าเพราะทําความสะอาดได้มากกว่า
ผู้ชายสามารถล้างหน้าได้บ่อยครั้งกว่าผู้หญิง เพราะรูขุมขนใหญ่กว่า ผลิตนํ้ามันเคลือบผิวได้มากกว่าจึงมีการระคายเคืองจากการล้างหน้าน้อยกว่า
ผู้ชายสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมนํ้าหอมได้มากกว่าผู้หญิง เพราะมีโอกาสแพ้น้อยกว่า แต่มีการผลิตเหงื่อมากกว่าจึงต้องการนํ้าหอมเพื่อระงับกลิ่น
ผู้ชายจะมีรอยเหี่ยวย่นจากวัยช้ากว่าผู้หญิง แต่จะมีปัญหาเรื่องสิวและผมบางมากกว่า จึงต้องการการดูแลเช่นกัน
ผู้ชายมีรูขุมขนกว้างและผิวมันกว่า สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้เพื่อผลัดเซลล์ผิว ลดความมัน และป้องกันการเกิดสิวได้
ฮอร์โมนเพศชายทำให้ผู้ชายมีผิวหนังหนากว่าผู้หญิงทั้งชั้นหนังกำพร้า หนังแท้ และคอลลาเจน ดังนั้นผู้ชายจึงมีริ้วรอยน้อยกว่าผู้หญิงในวัยเดียวกัน
ฮอร์โมนเพศชายทำให้ต่อมเหงื่อของผู้ชายทำงานมากกว่า จึงมีเหงื่อและกลิ่นตัวมาก การใช้โรลออนที่มีส่วนผสมของ aluminium chloride ช่วยลดเหงื่อได้
ผู้ชายมีปัญหาเรื่องผมบาง ศีรษะล้านมากกว่าผู้หญิง ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนเพศชาย
การรักษาผมบางจากฮอร์โมนในผู้ชาย สามารถใช้ยาทา หรือยากินได้ แต่เมื่อหยุดทาหรือกิน ผมก็จะกลับมาบางเหมือนเดิมอีก
การปลูกผมเพื่อรักษาผมบางจากพันธุกรรมหรือฮอร์โมนในผู้ชาย สามารถทำได้ แต่ผลการรักษาขึ้นกับความชำนาญของแพทย์และการตอบสนองของผู้ป่วย

Tuesday, December 27, 2011

วิธีดูแลผิวบริเวณคอ เมื่อผิวที่คอหย่อนคล้อย บอกร่องรอยแห่งวัย มีทางแก้ไหมนะ

@DrRungsima ผิวที่คอมักถูกละเลยจากคนทั่วไป ซึ่งมุ่งแต่ดูแลผิวที่หน้า แต่ผิวที่คอก็สัมผัสสิ่งสกปรก แสงแดด และมลภาวะจากภายนอกมากพอ ๆ กับหน้าเช่นกัน
เวลาแต่งหน้าแล้วมีการทาเครื่องสำอางหรือแป้งมาที่ลำคอ เมื่อล้างทำความสะอาดหน้า ก็ต้องอย่าลืมทำความสะอาดคอด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดด้วย
เมื่อทา moisturizer และครีมกันแดดบนหน้า ก็ควรทาลงมาให้ถึงคอด้วย มิฉะนั้นสีผิวที่หน้าและสีผิวที่คออาจไม่สม่ำเสมอกัน
อย่าลืมว่าผิวที่คอ ก็อาจเกิดปัญหาเช่นเดียวกับผิวที่หน้า ทั้งจุดด่างดำ และริ้วรอยจากวัย จึงควรให้ความสนใจและดูแลผิวที่คออย่างสม่ำเสมอ
จุดด่างดำที่คอส่วนใหญ่ จะเป็นกระเนื้อ มากกว่ากระแดด การรักษาทำได้โดยการใช้เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ รักษาเพียง 1 ครั้ง ได้ผลดีมากกว่า 80%
ริ้วรอยที่คอ โดยเฉพาะรอยตามแนวตั้ง สามารถรักษาได้ด้วย botulinum toxin แต่ต้องทำการรักษาซ้ำทุก 3 เดือน ส่วนรอยตามแนวนอนไม่ค่อยได้ผลดี
ระยะหลังเริ่มมีการใช้สารเติมเต็ม (Fillers) เพื่อเติมรอยย่นที่คอที่เป็นร่องลึก พบว่าได้ผลดีพอควร แต่สารเติมเต็มจะสลายตัวไปในเวลา 6-9เดือน
ปัญหาไขมันบริเวณคอ (รวมถึงใต้คาง) อาจแก้ไขได้ด้วยการใช้คลื่นความถี่วิทยุ หรือเลเซอร์สลายไขมัน แต่ควรพบแพทย์เพื่อประเมินเป็นราย ๆ ไป


ผิวที่ลำคอจะโดนแดดน้อยกว่าผิวที่หน้า โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ใต้คาง จึงมีจุดด่างดำและริ้วรอยย่นน้อยกว่า แต่ผิวบริเวณลำคอมักถูกมองข้ามไปเสมอ
หากเวลาแต่งหน้ามีการทาครีมรองพื้นหรือแป้งลงมาถึงบริเวณคอด้วย ควรล้างทำความสะอาดคอให้เหมือนที่ทำความสะอาดผิวหน้าด้วย
ถ้าคอมีจุดด่างดำ อาจใช้ครีมลดจุดด่างดำที่มีส่วนผสมของกรดอ่อน ๆ เช่นกรดวิตะมินเอ กรดผลไม้ arbutin kojic acid และ licorice ได้แต่ต้องระวังมาก
ถ้าผิวที่คอคล้ำกว่าผิวที่หน้า อาจลองใช้ครีมบำรุงที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ หรือทำ treatment ที่คอด้วย AHAs ทุก 2-4 สัปดาห์จะทำให้ผิวที่คอขาวขึ้น
การทำเลเซอร์กรอผิวหรือเลเซอร์ชนิดอื่นที่คอต้องระวัง เพราะแผลจะหายช้ากว่าแผลที่หน้าถึง 2 เท่า แผลที่หน้าหายใน 7 วัน แต่แผลที่คออาจถึง 14 วัน
รอยย่นที่ลำคอมี 2 ชนิด ชนิดที่เป็นแนวทางขวางของลำคอ และชนิดที่เป็นแนวตั้งจากคางมาถึงไหปลาร้า
รอยย่นชนิดแนวตั้งที่ลำคอรักษาได้ด้วย botulinum toxin ได้ผล 80-90% แต่ต้องฉีดซ้ำทุก 4-6 เดือน ผลข้างเคียงอาจมีการกลืนลำบากหรือยกศีรษะลำบากได้
รอยย่นที่คอตามแนวขวาง รักษาได้ด้วย botulinum toxin แต่ได้ผลเพียง 40-50% สู้การรักษารอยย่นที่คอในแนวตั้งไม่ได้
รอยย่นแนวขวางที่คอ อาจทำให้น้อยลงได้ด้วยการเติมฟิลเลอร์ตามรอยย่น แต่ต้องทำซ้ำทุก 9-12 เดือน ถ้าฉีดตื้นเกินไปอาจเห็นเป็นตุ่มนูนใต้ผิวหนังได้
การใช้คลื่นความถี่วิทยุในการกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับผิวบริเวณลำคอ อาจทำได้ แต่ข้อเสียคือเจ็บมาก เนื่องจากผิวหนังบริเวณคอบางกว่าผิวหน้า

ล้างหน้าและดูแลผิวอย่างถูกวิธี ก็ช่วยสร้างผิวสวยได้นะ

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างหน้า อาจแบ่งได้เป็น โฟม เจล โลชั่น water-soluble cleansing milks และ oil-free cleansing lotion
โฟมคือสบู่เหลวผสมครีม เหมาะสำหรับผิวธรรมดาเพราะมีความอ่อนโยนต่อผิวปกติ แต่ก็แรงพอที่จะใช้กับผิวมันในบริเวณ T-Zone และให้ความชุ่มชื้นได้พอควร
เจล จะไม่มีน้ำมันเป็นส่วนผสมจึงล้างออกง่าย และมีความเป็นด่างน้อยกว่าสบู่ มีส่วนผสมของ AHAs หรือ BHA จึงเหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
โลชั่น (สำหรับล้างหน้า) เหมาะสำหรับคนผิวแห้งหรือแพ้ง่าย เพราะมีสารให้ความชุ่มชื้นเคลือบผิวหนังอยู่เมื่อล้างด้วยน้ำเปล่าจะยังรู้สึกว่าผิวลื่น
water-soluble cleansers และ cleansing milks ใช้ได้กับผิวทุกชนิด เพราะไม่ระคายเคือง ส่วน oil-free cleansing lotions เหมาะสำหรับผิวผสม
การล้างหน้าอย่างถูกวิธี ทำเพียงวันละ 2 ครั้งในตอนเช้าและก่อนเข้านอนก็เพียงพอ ยกเว้นถ้ามีเหงื่อออกมากระหว่างวัน หรือออกกำลังกายค่อยล้างเพิ่ม
 ถ้าผิวบริเวณหน้าผากจมูกและคางเริ่มมันภายใน 2 ชั่วโมงหลังล้างหน้าถือว่าเป็นผิวมัน ถ้าผิวบริเวณหน้าผากจมูกและคางมันแต่แก้มแห้งถือว่าเป็นผิวผสม
ใช้น้ำธรรมดา (ไม่อุ่นหรือร้อนจนเกินไป) ล้างหน้า เพราะการใช้น้ำร้อนยิ่งทำให้ผิวแห้ง เกิดการระคายเคืองง่ายขึ้น
ใช้น้ำเย็นจัดล้างหน้าจะช่วยกระชับรูขุมขนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งผิวจะตอบสนองต่อความเย็นเพียงไม่กี่นาที รูขุมขนก็จะกลับมาเหมือนเดิม
หลังล้างหน้าควรทา moisturizer ทันที เพราะหน้าจะดูดซึม moisturizer ได้มากขึ้นหลังผิวเปียกน้ำ คนผิวมันอาจทา toner ก่อนก็ได้เพื่อควบคุมความมัน
การนวดครีมลงบนหน้าหรือนวดหน้าไปพร้อมกับทาครีม ไม่ได้ทำให้ครีมซึมลงในผิวหน้ามากขึ้น ควรทาครีมลงบนหน้าหลังล้างหน้าเสร็จใหม่ๆ ครีมจะซึมลงดีขึ้น
คนผิวผสมอาจเพิ่มการทา moisturizer บริเวณแก้มซึ่งแห้งกว่าปกติ และใช้ toner เฉพาะบริเวณ T-Zone เพื่อควบคุมความมันบริเวณนั้น
การขัดหน้า (scrub) ผิวหน้าบ่อย ๆ ทำให้เกิดการระคายเคืองง่ายขึ้น จึงไม่ควรขัดหน้าบ่อยกว่า 1 ครั้ง / 1-2 สัปดาห์
มีความเชื่อที่ผิดว่าการล้างหน้าจะต้องขัดขี้ไคลออกจนหมด ที่จริงขี้ไคลคือผิวหนังกำพร้าชั้นนอกสุดของเรารวมกับน้ำมันเคลือบผิวคอยป้องกันฝุ่นละออง
โดยธรรมชาติผิวหนังกำพร้า(ขี้ไคล)ของคนเราจะหลุดออกมาเองทุกวัน และจะพาเอาฝุ่นละอองที่เคลือบผิวอยู่ออกมาด้วยจึงไม่จำเป็นต้องออกแรงถูหน้าตอนล้าง


การทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตา ทำโดยใช้สำลีแผ่นตัดขอบเรียบ ชุบ cleanser เช็ดรอบดวงตาเบาๆ ถ้าเช็ดแรงอาจทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้

สมุนไพร ผัก ผลไม้ ไข่แดง น้ำผึ้ง นม ของที่ส่วนใหญ่กินได้อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน น้ำตาล และสารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ
การนำสมุนไพร ผัก ผลไม้ มาใช้บำรุงผิวนั้น ต้องเลือกที่สะอาดและปลอดภัย ใหม่ สด คุณภาพดี นำมาย่อยจนขนาดเล็กละเอียด ไม่ระคายเคืองผิวหนัง
ของที่นำมาใช้พอกเพื่อบำรุงผิวได้ เช่น ว่านหางจระเข้ มะเขือเทศสุก ฝรั่ง แตงกวา มะม่วง แครอท กล้วย สัปปะรด มะขาม มะนาว ตำลึง
นำสมุนไพร ผัก ผลไม้ที่ต้องการ มาปั่นละเอียด (มะเขือเทศไม่ต้องปอก) สามารถกรองเอาน้ำมาใช้แทนโทนเนอร์ ส่วนเนื้อที่เหลือใช้เป็นมาส์กพอกหน้า
 แตงกวา และผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย เหมาะสำหรับคนผิวมัน เพราะมี AHAs ตามธรรมชาติอยู่มาก จะช่วยลดความมัน และกระชับรูขุมขนได้
 กล้วย ว่านหางจระเข้ มะม่วง แครอท แตงกวา เหมาะกับคนผิวแห้ง เนื่องจากให้ความชุ่มชื้น และทำให้ผิวสดใส ไม่แห้งหรือหมองคล้ำ
สมุนไพร ผัก ผลไม้ ก็อาจมีการแพ้ได้ วิธีทดสอบให้นำส่วนผสมที่เตรียมไว้มาทาที่ท้องแขน ทิ้งไว้สักพัก ถ้าไม่คัน มีผื่น แสบร้อน ถือว่าไม่แพ้
 การใช้ผัก ผลไม้ สมุนไพรต้องใช้อย่างสม่ำเสมอจึงจะเห็นผล ส่วนผสมต่าง ๆ สามารถปรับหรือ ผสมสูตรขึ้นมาใหม่ได้ตามชนิดผลไม้หรือผักที่มีอยู่
ระยะเวลาในการทำหรือพอกก่อนล้างออกนั้นไม่ได้ตายตัวขึ้นกับสภาพผิว คนที่ผิวแห้งหรือแพ้ง่ายควรใช้เวลาพอกน้อยกว่า เช่น เริ่มจาก 5 นาทีก่อน
การใช้ในช่วงแรกไม่ควรพอกหรือทาทิ้งไว้นานๆ โดยเฉพาะส่วนผสมที่มีกรดผลไม้ (มะขาม มะนาว สับปะรด) ต้องใช้ปริมาณน้อยๆและในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อน
คนผิวแห้งอาจผสมนมโยเกิร์ต ไข่แดง คนผิวมันอาจผสมน้ำมะนาวหรือน้ำส้ม ไข่ขาว ส่วนน้ำผึ้งสามารถเติมลงไปได้ทุกสภาพผิวเพื่อให้ความชุ่มชื้น
การใช้น้ำกรองจากผัก ผลไม้ สมุนไพร สามารถใช้ได้ทุกวันหลังล้างหน้า สำหรับส่วนผสมบดละเอียดใช้พอกแทนมาส์คสามารถใช้ได้ทุกสัปดาห์

การใช้ผ้าชุบน้ำเย็นจัดมาวางลงบนตาประมาณ 10-15 นาที จะช่วยให้เส้นเลือดรอบตาหดตัว ลดอาการบวมของตาจากการอดนอนหรือการร้องไห้ได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากผ้าชุบน้ำเย็นจัดแล้ว ถุงชา มะเขือเทศ หรือแตงกวาแช่เย็นนำมาหั่นเป็นแว่น ก็ใช้ลดการบวมช้ำจากการอดนอนหรือร้องไห้ได้เช่นกัน
ถ้าอดนอนจะมีระดับฮอร์โมนจากต่อมเหนือสมองผิดปกติ เกิดความเครียด การกินอาหารที่มีวิตะมินบีและซี เช่น ข้าวกล้อง ผัก ผลไม้สด จะเรียกพลังคืนมาได้
การอดนอนจะทำให้ร่างกายและผิวสูญเสียน้ำ ดังนั้นจึงต้องดื่มน้ำสะอาดเยอะๆ ในตอนเช้า ทา moisturizer และ eye cream ที่เข้มข้น เพื่อให้ผิวสดใส
ไม่ควรอดนอนติดต่อกันเกิน 2 คน เพราะร่างกายจะเสียสมดุล เกิดความเครียด และทำให้แก่เร็ว ถ้าอดนอนเมื่อคืนนี้ไปแล้ว คืนนี้ต้องเข้านอนแต่หัวค่ำ



ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถจะหยุดเวลาและอายุของคนเราได้ แต่ถ้าเราดูแลตัวเองอย่างดี ดูแลผิวพรรณอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เราดูอายุน้อยกว่าวัยจริงได้
การดูแลผิวเพื่อดูอ่อนวัยทำได้โดยการทา moisturizer และครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากผิวที่มีอายุคือผิวที่ขาดความชุ่มชื้นและมีจุดด่างดำ
 การทา moisturizer จะช่วยให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น ลดการแห้งกร้าน และหมองคล้ำ ควรเลือกใช้ moisturizer ที่เหมาะกับสภาพผิวของตนเองและตามวัย
การทาครีมกันแดด ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF>30 และค่า PA+++ ซึ่งป้องกันได้ทั้ง UVB และ UVA เพราะแสงแดดจะทำให้เกิดจุดด่างดำและริ้วรอย
เมื่อเริ่มมีริ้วรอยหรือความหมองคล้ำ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้หรือกรดวิตะมินเอ จะช่วยผลัดเซลล์ผิว และลดริ้วรอยตื้น ๆได้
 ควรพักผ่อนให้เพียงพอ คนนอนดึก จะทำให้ผิวหนังอิดโรย หมองคล้ำ มีริ้วรอยก่อนวัย
ไม่ควรนอนตะแคงซุกหน้ากับหมอนหรือนอนก่ายหน้าผากจนทำให้เกิดรอยบนหน้า ถ้านอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งเป็นประจำ ร่องแก้มข้างนั้นจะลึกกว่าอีกข้าง
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่เน้นผักผลไม้ที่มีวิตะมินซี เอ และอี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวแข็งแรง และปกป้องผิวจากมลภาวะสิ่งแวดล้อมภายนอกได้
ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น เบคอน เนย เพราะการเผาผลาญอาหารกลุ่มนี้ทำให้มีอนุมูลอิสระสูงทำลายผิว
งดอาหารหวานจัด หรือมีน้ำตาลสูง น้ำอัดลม เนื่องจากมีผลต่อการสร้างคอลลาเจนของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังหย่อนยาน ไม่ตึงกระชับ
เครื่องดื่มทีมีคาเฟอีน จะทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น ถ้าติดกาแฟจนเลิกไม่ได้ หลังดื่มกาแฟอย่าลืมดื่มน้ำเปล่าตามเข้าไปด้วย ผิวจะไม่ขาดน้ำ
เครื่องดื่่มที่มีแอลกอฮอล์ ทำให้ผิวขาดน้ำ ไม่สดใสเปล่งปลั่ง และเหี่ยวย่นก่อนวัยได้เช่นกัน ควรงดดื่มอย่างเด็ดขาด และงดสูบบุหรี่ด้วย
ใช้ชีวิตอย่างสมดุล นอนพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหาร 5 หมู่ ออกกำลังกาย อย่าเครียดหรือหักโหมกับงานมากเกินไป อยู่กับครอบครัวหรือคนที่เรารัก
 มองโลกในแง่ดี ทำจิตใจให้แจ่มใส รู้จักเป็นผู้ให้และมีความสุขกับการให้ จะทำให้เราเป็นคนสวยจากภายในซึ่งสำคัญกว่าการสวยหรือดูดีจากภายนอก
เคล็ดลับหน้าเด็กที่สำคัญที่สุดคือ เลิกกังวลกับอายุ(และน้ำหนัก) ความกังวลหรือย้ำคิดย้ำทำจะทำให้เราแก่ขึ้นมาจริงๆมีความสุขกับตัวเองดีกว่า

คนผิวมันในช่วงหน้าหนาวอาจมีผิวบางส่วนแห้งตึงได้ การทา toner หลังล้างหน้าจะช่วยควบคุมความมันบนใบหน้า และทำให้ผิวดูดซึม moisturizer ได้ดีขึ้น
คนผิวแห้งในช่วงหน้าหนาว ผิวจะตึงและลอก เกิดการอักเสบและสิวจากการระคายเคืองได้ การใช้ moisturizer ที่มีส่วนผสมของ glycerin จะลดการระคายเคือง
ไม่ควรใช้สบู่ในการล้างหน้าช่วงหน้าหนาว เพราะสบู่มีความเป็นด่าง จะทำให้ผิวแห้งตึงได้ง่าย และไม่ควรใช้โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของ scrub ขัดหน้า
โรคผิวหนังที่มักจะเห่อขึ้นในหน้าหนาว : ภูมิแพ้ผิวหนัง seborrheic dermatitis รังแค สิวจากการระคายเคือง
คนที่มีรังแคมากช่วงหน้าหนาว อาจต้องลดความถี่ในการสระผมลง หรือใช้แชมพูขจัดรังแคในช่วงสั้น ๆ การสระผมบ่อยจะยิ่งทำให้หนังศีรษะแห้ง เป็นขุย






Monday, December 26, 2011

ใต้ตาคล้ำ รักษาได้ไหมนะ...

ใต้ตาหรือขอบตาดำเกิดจากกรรมพันธุ์ การเป็นภูมิแพ้ ผิวหนังใต้ตาบางลงจากอายุที่เพิ่มขึ้นจนทำให้เห็นเส้นเลือดชัดขึ้น แต่ละสาเหตุจะรักษาต่างกัน
ขอบตาดำจากกรรมพันธุ์ ส่วนใหญ่พบในคนผิวคล้ำ การรักษาอาจใช้ยาทาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี การทาครีมบำรุง หรือใช้เลเซอร์สำหรับกำจัดเม็ดสี
ขอบตาดำจากการที่มีผิวหนังใต้ตาบางลงเมื่ออายุมากขึ้น รักษาได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ แต่ถ้าฉีดตื้นเกินไป อาจพบก้อนสีน้ำเงินใต้ผิวหนังได้
ขอบตาดำจากภูมิแพ้ รักษายากที่สุด การรักษาภูมิแพ้จะทำให้ดีขึ้นได้บ้าง แต่ไม่มาก การใช้เลเซอร์ลบรอยคล้ำมักเกิดรอยดำหลังเลเซอร์ตามมา

การเกิดสิว และการรักษารอยแผลจากสิว

สิวเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะเกิดการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บริเวณต่อมไขมัน เกิดการอักเสบนูนแดง
สิวจะอักเสบรุนแรงกลายเป็นสิวหัวช้างหากภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลงเช่น มีประจำเดือน อดนอน ความเครียดจะกระตุ้นต่อมไขมันให้สร้างไขมันเพิ่มขึ้น
การป้องกันสิวที่ดีจึงควรปรับสมดุลร่างกายด้วยการกินอาหารถูกหลัก ออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาด 6-8 แก้ว/วัน หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และสารเสพติด
วงจรชีวิตของสิวจะเริ่มต้นจากการเป็นสิวอุดตัน (สิวหัวขาว) ต่อมาจะกลายเป็นสิวหัวดำ เมื่อมีการอักเสบจะกลายเป็นสิวอักเสบ ถ้าไม่ทำอะไรจะหายเองได้
โดยทั่วไปถ้าไม่ทำการรักษาสิว ร่างกายจะมีกลไกในการรักษาสิวด้วยตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งการอักเสบจะดีขึ้นได้ภายในเวลา 7-14 วัน
ถ้าสิวมีการอักเสบนานเกินกว่า 14 วัน เวลาหายจะไม่เป็นผิวปกติ แต่จะมีรอยแดงหรือรอยดำจากสิวได้ ยิ่งการอักเสบนาน รอยดำและรอยแดงก็จะอยู่นานขึ้น
รอยดำสิวเกิดจากการอักเสบของสิวที่เป็นนานเกิน 1 สัปดาห์ ถ้าทิ้งไว้ไม่ทำอะไรหายได้เองใน 3-6 เดือน
ส่วนรอยแดงสิวเกิดจากการอักเสบของสิวเกิน 2 สัปดาห์ แผลจะอยู่ในชั้นลึกกว่า ดังนั้นกว่าจะหายจึงใช้เวลานาน 6-9 เดือน
การบีบเค้นหรือเจาะสิว จะยิ่งทำให้การอักเสบเป็นอยู่นานขึ้น แทนที่สิวจะหายได้เองในเวลา 7-14 วัน สิวจะอักเสบเป็นเวลานานส่งผลให้เกิดแผลเป็นตามมา
ถ้าสิวอักเสบ > 14 วัน จะหายเป็นรอยแดงที่ใช้เวลานาน 3-6 เดือนกว่าจะหาย แต่ถ้าอักเสบนาน > 1 เดือน มีโอกาสสูงที่จะเกิดแผลเป็นซึ่งไม่หายเอง
หัวใจของการรักษาสิวคือ ทำให้การอักเสบเกิดน้อยที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นสิว ควรหลีกเลี่ยงการบีบเค้นเจาะ ที่จะทำให้สิวอักเสบเพิ่มขึ้น


สิวอุดตัน การรักษาที่ดีที่สุดคือการละลายสิวอุดตัน และทำให้หัวสิวออกจากรูขุมขนโดยไม่มีการอักเสบเกิดขึ้น การทายาที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะช่วยได้ดี
การรักษาสิวอุดตันทำได้โดยใช้ยาทากรดวิตะมินเอ กรดผลไม้ การทำ treatment ทุกชนิดที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว การใช้สบู่ล้างหน้าที่เป็นกรดอ่อน ๆ
หลักการรักษาสิวอักเสบคือลดการอักเสบให้เร็วที่สุด เพื่อลดการเกิดแผลเป็น ถ้าเป็นน้อยใช้ยาปฏิชีวนะทา เป็นมากใช้ยากิน อักเสบรุนแรงอาจต้องฉีดยา
การฉีดสิวที่ทำกันโดยทั่วไป คือการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในสิวเพื่อลดการอักเสบ แต่ถ้าฉีดไม่ดีอาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ถูกฉีดยาบุ๋มลงไปได้

การรักษารอยดำที่เกิดจากสิว อาจใช้ยาทากรดวิตะมินเอ กรดผลไม้ หรือยาทาที่ลดการสร้างเม็ดสี เช่น arbutin, kojic, licorice
การรักษารอยแดงใช้ยาทามักไม่ค่อยได้ผล การใช้เลเซอร์ลบรอยแดงช่วยทำให้หายเร็วขึ้น แต่ต้องรักษาหลายครั้งทุกเดือน อย่างน้อย 2-3 ครั้ง
การรักษาแผลหลุมสิว ไม่มียาทา การทำ treatment อื่น ๆ ช่วยได้เลย นอกจากการกรอผิวด้วยเลเซอร์ คลื่นความถี่วิทยุ จี้กรด หรือ subcision
ไม่ควรเริ่มรักษารอยดำ รอยแดง หรือแผลเป็นหลุมสิว ถ้ายังมีสิวอักเสบขึ้นใหม่อยู่ เพราะการรักษาแผลเป็นแทบทุกวิธีกระตุ้นให้เกิดสิวใหม่ได้
การทำ treatment ด้วยกรดผลไม้ จะช่วยรักษาสิวอุดตัน และลดรอยดำสิวได้ แต่อาจทำให้ระคายเคืองผิวหน้าและเกิดสิวอักเสบได้เช่นกัน จึงควรปรึกษาแพทย์
ไม่มีหลักฐานทางการวิจัยว่าการทำไอออนโต หรือโฟโนโฟรีซิส ทำให้สิวหรือรอยแดง รอยดำ หรือแผลเป็นหลุมสิวดีขึ้น


การรักษาหลุมสิวเดิมใช้การจี้กรด เลเซอร์กรอผิวแบบตื้นหรือแบบลึก การทําsubcision วิธีการพวกนี้ยังมีข้อจํากัดในเรื่องประสิทธิภาพและผลข้างเคียง
การรักษาหลุมสิวที่จะมาแรงในปีนี้คือการใช้เข็มขนาดเล็กจิ้มลงบริเวณหลุมสิวพร้อมกับปล่อยคลื่นถี่วิทยุลงไปในผิวหนังชั้นลึกเพื่อกระตุ้นcollagen
การปล่อยคลื่นความถี่วิทยุผ่านเข็มเพื่อรักษาหลุมสิวจะเห็นผลดีขึ้น60-70%หลังรักษาเดือนละครั้ง 2-3ครั้ง คนส่วนใหญ่เริ่มเห็นผลหลังรักษาครั้งแรก
ถึงแม้ประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวของการปล่อยคลื่นความถี่วิทยุผ่านเข็มจะใกล้เคียงกับเลเซอร์กรอผิว แต่พบผลข้างเคียงรอยดําหลังการรักษาน้อยกว่า
ข้อเสียของการรักษาหลุมสิวด้วยการปล่อยคลื่นความถี่วิทยุผ่านเข็มคือ เจ็บ มีแผลจุดเลือดออกหลังรักษา มีแผลอยู่นาน 7วัน เช่นเดียวกับเลเซอร์กรอผิว


Sunday, December 25, 2011

กลูต้าไธโอน...สวยคุ้มเสี่ยง...เหรอ?

@DrRungsima กลูตาไธโอนยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ทำให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำ (eumelanin) เป็นเม็ดสีอ่อนลง (pheomelanin) ทำให้ผิวขาวขึ้น
กลูต้าไธโอน และ NAC จะทำงานร่วมกับ Vit C และ E ไปต้านอนุมูลอิสระในเนื้อเยื่อ ทำให้เซลล์ไม่เสื่อมสภาพเร็วเกินไป
สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกย่อยสลายและขับออกทางลำไส้ การรับประทานยาเม็ดกลูต้าไธโอนจึงไม่ได้ประโยชน์เลย
กลูตาไธโอนชนิดทา มีงานวิจัยพบว่าช่วยทำให้แผลของหนูหายเร็วขึ้น แต่ไม่เคยมีการวิจัยในคน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความขาว
กลูตาไธโอนไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างพันธุกรรมของเซลล์สร้างเม็ดสีได้ เมื่อหยุดได้รับยา เซลล์สร้างเม็ดสีก็กลับไปสร้างเม็ดสีดำตามปกติเหมือนเดิม
ผู้ที่ฉีดกลูตาไธโอนเพื่อให้ผิวขาวขึ้น ต้องฉีดในปริมาณมากกว่าที่ใช้รักษาตามปกติหลายเท่าตัวต่อเนื่องกันนาน อาจมีอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้
การฉีดยาใด ๆ ก็ตามเข้าเส้นเลือดดำ ล้วนมีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้ตัวยาเอง สารฆ่าเชื้อ สารกันเสีย สารปนเปื้อน หรืออาจมีการติดเชื้อจากการฉีด
มีรายงานผู้ป่วยในต่างประเทศที่ได้รับการฉีดกลูตาไธโอนขนาดสูง มีอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิต หากไม่ได้ช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
การฉีดกลูตาไธโอนมักให้ร่วมกับวิตามินซีขนาดสูง ซึ่งการฉีดวิตามินซีในขนาดที่สูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึน ศีรษะคล้ายจะเป็นลมได้
หากใช้กลูตาไธโอนในผู้ป่วยมะเร็ง ทำให้ประสิทธิภาพของเคมีบำบัดลดลง
การได้รับสารกลูตาไธโอนปริมาณมาก มีผลทำให้ขบวนการต้านอนุมูลอิสระของร่างกายเสียสมดุล กลายเป็นอนุมูลอิสระกลับมาทำร้ายร่างกายได้
การที่ร่างกายได้รับสารกลูตาไธโอนเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เม็ดสีเมลานินที่จอตาลดลง ทำให้จอตารับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต
การได้รับสารกลูตาไธโอนเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เม็ดสีเมลานินที่ผิวหนังลดลง ผิวหนังจะได้รับแสง ultraviolet มากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง
ไม่มีการฉีดกลูตาไธโอนในโรงพยาบาลรัฐหรือโรงเรียนแพทย์ เพราะไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว
การฉีดกลูตาไธโอนเป็นการเพิ่มสารกลูตาไธโอนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น อาจทำให้ผิวขาวขึ้นได้ในเวลาสั้น ๆ พอหยุดฉีดสีผิวก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม
ไม่ควรตกเป็นเหยื่อของคำโฆษณาที่อ้างว่าทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวรเช่นนั้นได้
กระทรวงสาธารณสุขได้มีระเบียบออกมาห้ามไม่ให้แพทย์ใช้การฉีดกลูตาไธโอน เพื่่อทำให้ผิวขาว และมีการสุ่มตรวจสถานพยาบาลที่ฉีดและโฆษณาว่ามีความผิด
ถ้าแพทย์ฉีดกลูตาไธโอนให้กับคนไข้ ถือว่ากระทำผิดกฏหมายข้อหาขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับ 5,000 บาท
ถ้าสถานพยาบาลมีการโฆษณาเกินจริเรื่องการฉีดกลูตาไธโอน จะมีความผิดตาม พรบ. ยา มีโทษปรับถึง 1 แสนบาท
ถ้าผู้ฉีดกลูตาไธโอนไม่ใช่แพทย์ ถือว่ามีความผิดฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรมและเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับ อนุญาต พรบ. วิชาชีพเวชกรรม มีโทษจำและปรับ

@DrIttaporn: กรณีพบแพทย์ ฉีดกลูต้าไธโอน ให้ผิวขาว ถือว่าผิดจริยธรรม แจ้งชื่อ สถานที่ให้ แพทยสภาดำเนินคดีได้ที่ email- tmc@tmc.or.th ครับ
สธ.ห้ามไม่ให้สถานพยาบาล/แพทย์ ใช้กลูตาไธโอนฉีดเพื่่อทำให้ผิวขาว และการโฆษณาถือว่ามีความผิด พบแจ้งที่ 025918844ต่อ601-603


Saturday, December 24, 2011

ผมหงอก ผมร่วง มีทางแก้ไหมนะ

@DrRungsima ผมหงอกเกิดจากเม็ดสีของเส้นผมลดน้อยลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้นทำให้ผมเป็นสีขาว หยาบไม่มีประกาย ผมหงอกที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นจะคงอยู่ถาวรไม่ลดลง
คนเอเชียผมจะเริ่มหงอกเมื่ออายุ 30-40 ปี ถ้าพบผมหงอกก่อนอายุ 30 ปี ถือว่าผมหงอกก่อนวัยซึ่งมักเป็นจากกรรมพันธุ์แต่ในบางรายอาจมีสาเหตุจากโรคได้
โรคที่ทำให้ผมหงอกก่อนวัยคือ การขาดวิตะมินบี ดื่ม alcohol และความเครียด ถ้าผมหงอกก่อนวัยเกิดจากการขาดวิตะมินบี ถ้ากินวิตะมินผมจะกลับมาดำได้
คนที่ผมหงอกก่อนวัยที่เกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะกินวิตะมินบีขนาดสูง ก็ไม่สามารถให้ผมหงอกกลับมาดำได้
มีความเชื่อว่าการถอนผมหงอก จะทำให้มีผมหงอกเพิ่มมากขึ้น ความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ถอนหงอกเส้นเดียว ผมหงอกก็จะขึ้นกลับมาเส้นเดียว
ไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้ผมหงอกจากกรรมพันธุ์ (หงอกก่อนวัย) และจากอายุที่เพิ่มขึ้นกลับมาดำได้ นอกเหนือจากการย้อมผม โปรดอย่าหลงเชื่อคำโฆษณา
 เวลาผมหงอก จะเริ่มหงอกจากปลายผม ไม่ใช่โคนผม ดังนั้นการตัดผมสั้นช่วยได้ในช่วงที่เริ่มหงอก 1-2 ปีแรก หลังจากนั้นจึงค่อยย้อมผม

ผมบางในผู้หญิง ต้องหาสาเหตุก่อนเริ่มรักษา ถ้าผมร่วงเป็นหย่อมควรพบแพทย์ ถ้าผมบางทั่วๆไป อาจกินวิตะมิน B หรือ Zinc ก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นต้องทายา
ยาทาเพื่อปลูกผมทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย จะมีตัวยา minoxidil กรดวิตะมินเอ หรือ finasteride ผสมอยู่ ซึ่งต้องใช้ในการดูแลของแพทย์ ไม่มีขายทั่วไป
เมื่อซื้อยาปลูกผมตามท้องตลาด ควรต้องขอดูเลขทะเบียนยาด้วย ว่ายานั้นผ่านการรับรองจาก อย. หรือไม่ เพราะอาจมียาปลอม หรือเกิดผลข้างเคียงได้บ่อย
 ในปัจจุบันยังไม่มียากินที่ปลอดภัยเพื่อปลูกผมสำหรับผู้หญิง เนื่องจากยากินที่มีในปัจจุบัน ทำให้เกิดผลข้างเคียงในผู้หญิงสูง

 การรักษาผมร่วงเป็นหย่อมทำด้วยการฉีดยาเข้าไปบริเวณที่ผมร่วงเดือนละ 1 ครั้ง ร่วมกับการทายา ถ้าเป็นไม่มาก จะหายภายในระยะเวลา 3-6 เดือน
 ผมร่วงเป็นหย่อมที่เห็นขอบเขตการร่วงชัดเจน เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการทำลายรากผมในบางบริเวณ ผมบริเวณนั้นจึงร่วง

Friday, December 23, 2011

วิธีการร้อยไหมในการรักษาหน้าหย่อนคล้อย ได้ผลจริงหรือ?

@DrWoraphong: วิธีการร้อยไหมที่กำลังฮิตในการรักษาหน้าหย่อนคล้อยไม่น่าจะได้ผลเพราะไหมเป็นร้อยเส้นถูกสอดเข้าไปในหน้าแต่ละซีกโดยไม่มีจุดยึดข้างบน ...
ลองคิดดูเวลาเราตากผ้ายังต้องที่ตัวหนีบกันผ้าตกตามแรงโน้มถ่วง การร้อยไหมที่แก้มโดยไม่มีการยึดด้านบน วักพักผิวก็ตกตามแรงโน้มถ่วงอีก ...
แก้มแต่ละข้างที่ถูกร้อยไหมเป็นร้อยเส้นจะเกิดการบวมในระยะแรกทำให้เรารู้สึกส่าผิวส่วนนั้นตึงขึ้น เมื่ออาการบวมหายผิวคงหย่อนตามแรงโน้มถ่วงอีก
แต่มีไหมชื่อ Silhouette ที่น่าจะได้ผลเพราะมีการผ่าตัดเป็นรูเล็กๆเพื่อยึดไหมด้านบนกับหนังหุ้มกระโหลกวิธีนี้น่าจะได้ผล แต่ฟังดูจะน่ากลัวหน่อย
วิธีการยึดไหมเพียง 3 เส้นชื่อSilhouette ที่น่าจะได้ผลในการดึงหน้าให้ตึง ไม่เหมือนกับการร้อยไหมแบบเด็กๆที่ฮิตในไทยตอนนี้ http://www.youtube.com/watch?v=whzS_B7aTq0

@DrRungsima: เทคโนโลยีการร้อยไหม เกิดขึ้นจากการที่คนอยากยกกระชับหน้าโดยไม่อยากผ่าตัด ซึ่งยุ่งยาก ต้องพักฟื้นนาน จึงมีแพทย์ชาวฝรั่งเศสเอาไหมมาดึงผิวขึ้น
การร้อยไหมจึงเหมาะสำหรับการดึงหน้าเฉพาะส่วนเช่น หางคิ้วหรือร่องแก้ม ไหมชนิดแรกที่นำมาใช้ชื่อว่า Aptos มีลักษณะคล้ายฟันปลาซึ่งเอาไว้เกี่ยวผิว
เคยมีคนพยายามเอาทองคำมาใช้เป็นไหมยกกระชับหน้า เพราะทองเป็นสิ่งแปลกปลอม พอใส่เข้าไปในร่างกาย ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนขึ้นในบริเวณนั้น
ข้อเสียของการร้อยไหมทองคือ ผู้ที่แพ้โลหะอาจเกิดการแพ้รุนแรง ทองจะไม่ย่อยสลายและถือเป็นโลหะหนัก ในปัจจุบันไม่มีการศึกษาถึงผลกระทบระยะยาว
ผู้ที่ใช้ไหมทองร้อยบนใบหน้า ห้ามทำการรักษาหรือ treatment ใดๆ ที่ใช้ความร้อนบนใบหน้าเด็ดขาด เพราะทองจะนำความร้อนได้ทำให้ผิวหนังโดยรอบไหม้ได้
การร้อยไหมละลาย จะใช้ไหมที่สลายไปเองในเวลา 6 เดือน ไหมชนิดนี้ไม่สามารถยกกระชับหรือดึงผิวได้ แต่จะไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง
การร้อยไหมละลายมีข้อดีที่เห็นผลทันที แต่มีข้อเสียคือถ้าร่างกายแพ้ไหมที่ร้อยเข้าไป แต่ไหมใช้เวลา 6 เดือนกว่าจะละลาย ร่างกายจะพยายามกำจัดไหม
ถ้าคนไข้แพ้ไหมละลาย จะมีอาการตุ่มแดง ตุ่มหนองตามบริเวณที่ร้อยไหมเข้าไป ซึ่งจะรักษาได้ยาก อีกทั้งการจิ้มไหมเป็นจำนวนมากจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
การร้อยไหมบริเวณปลายจมูก ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบริเวณนี้มีเลือดไปเลี้ยงน้อย เกิดการอักเสบติดเชื้อได้ง่าย เกิดแผลเป็น จมูกผิดรูปได้
คอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นโดยไหมละลาย อาจเป็นคอลลาเจนชนิดเดียวกับที่พบในแผลเป็น ไม่ใช่คอลลาเจนตามธรรมชาติที่อยู่ที่ผิวหนังปกติ
ที่สำคัญคือ ยังไม่มีการศึกษาถึงผลระยะยาวของการใช้ไหมละลายบนใบหน้าเกี่ยวกับคอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นให้สร้างขึ้นว่าจะส่งผลให้เกิดการหดรั้งหรือไม่

เพิ่มเติม 03/19/2012

 @DrRungsima: ในงานประชุมนี้หมอได้มาเจออาจารย์ของหมอซึ่งเป็นหมอผิวหนังที่ดังมากในอเมริกา ก็เลยถามเค้าว่าเคยใช้ไหมละลายในการยกกระชับหน้าคนไข้บ้างมั๊ย ???
เพราะตอนนี้ที่เมืองไทยการใช้ไหมละลายยกกระชับหน้าเป็นที่นิยมมาก และมีต้นแบบมาจากเกาหลี อาจารย์ของหมอซึ่งเป็นหมอชื่อดังในอเมริกาตอบว่า
ถึงแม้ว่าไหมละลายผ่านการรับรองให้ใช้เป็นไหมเย็บเส้นเลือดหัวใจ หรือเย็บแผลผ่าตัดก็ตาม แต่ไม่เคยผ่านการรับรองให้ใช้สำหรับการยกกระชับหน้า
อีกทั้งการใช้ไหมละลายเย็บแผลปกติ คอลลาเจนที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ไหมละลาย เป็นคอลลาเจนชนิดเดียวกับที่พบในแผลเป็น ไม่ใช่คอลลาเจนปกติของร่างกาย
ดังนั้นการใช้ไหมละลายเส้นสั้น ๆ ร้อยสานกันบนใบหน้า จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อหรือคอลลาเจนแบบแผลเป็นขึ้นใต้ผิว ไม่ใช่คอลลาเจนปกติ
ยังไม่มีการศึกษาผลของการสร้างคอลลาเจนหรือเนื้อเยื่อแผลเป็นจากการใช้ไหมละลายในการยกกระชับหน้าในระยะยาว ฉะนั้นจึงไม่แนะนำให้ทำ
FDA ของอเมริกาเข้มงวดมาก ผลิตภัณฑ์อะไรที่ไม่ผ่านการรับรองจาก FDA ให้คิดไว้เสมอว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอทั้งในแง่ประสิทธิภาพและผลข้างเคียง
ในทางเดียวกันผลิตภัณฑ์อะไรที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. ของเมืองไทย ก็ยังไม่ควรนำมาใช้เพราะแสดงว่าหลักฐานด้านประสิทธิภาพและผลข้างเคียงยังไม่พอ
ผลิตภัณฑ์บางอย่าง ได้รับการรับรองสำหรับการรักษาอย่างหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะเอามาใช้ทำอะไรก็ได้ ผู้ขายจึงมักใช้ทางนี้ในการเลี่ยงกฏหมาย
ยกตัวอย่าง เช่น กลูต้าไธโอน แบบฉีด ได้รับการรับรองให้ใช้ในการรักษาคนไข้โรคตับ หรือคนไข้มะเร็ง แต่ไม่ได้รับการรับรองให้ฉีดเพื่อให้ผิวขาว
ดังนั้นถ้านำกลูต้าไธโอนมาฉีดเพื่อทำให้ผิวขาว จึงมีความผิด ถึงให้แพทย์ฉีด แพทย์คนที่ฉีดก็มีความผิด
ไหมละลายได้รับการรับรองเพื่อการเย็บแผล แต่ไม่ได้รับการรับรองให้นำมาใช้ยกกระชับหน้า ถึงแม้จะขายได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะนำมาใช้ทำอะไรก็ได้



Tuesday, December 20, 2011

นานาวิธีการสลายไขมันเฉพาะจุด

การดูดไขมัน การใช้เลเซอร์และความเย็นสลายไขมัน การใช้คลื่นความถี่วิทยุ เป็นทางเลือกสําหรับคนที่ไม่อ้วนทั้งตัวแต่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะที่
การดูดไขมันสามารถกําจัดไขมันออกไปได้ปริมาณมากจากการรักษาครั้งเดียว แต่มีความเสี่ยงจากการดมยา เกิดแผลเป็น หรือผิวหย่อนยานถ้าดูดไขมันปริมาณมาก
การใช้เลเซอร์สลายไขมันละลายไขมันได้น้อย จึงมักต้องใช้การดูดไขมันวิธีเดิมร่วมด้วย มีข้อดีที่ทําให้ผิวกระชับแต่อาจเกิดแผลเป็นจากรูที่เจาะได้
ความร้อนจากการใช้คลื่นความถี่วิทยุจะทําให้ไขมันถูกรีดออกจากเซลล์ไขมัน มีข้อดีคือไม่มีแผลและไม่เจ็บ แต่ต้องทําต่อเนื่องกันหลายครั้ง
การสลายไขมันด้วยคลื่นความถี่วิทยุจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อทําพร้อมการกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า ทําให้ผิวตึงกระชับไม่หย่อนยานหลังสลายไขมัน
การสลายไขมันด้วยความเย็นเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ใช้ความเย็นที่4-7ํc นาน1ชม. ทําให้ความหนาของไขมันลดลง22%หลังการรักษาเพียงครั้งเดียว
การสลายไขมันด้วยความเย็นไม่ทําให้เกิดแผล ไม่มีแผลเป็น แต่กว่าจะเห็นผลต้องรอ 3 เดือนหลังการรักษา
เซลลูไลท์เกิดจากพันธุกรรมและฮอร์โมน ไม่ได้เกิดจากความอ้วน ดังนั้นการลดความอ้วนหรือลดนํ้าหนักจึงไม่สามารถรักษาเซลลูไลท์ได้
เซลลูไลท์อาจดีขึ้นได้ถ้าออกกําลังกาย หรือใช้คลื่นความถี่วิทยุ แต่ต้องทําหลายครั้งและเมื่อหยุดทําจะกลับเป็นซํ้าได้อีก
การฉีด carboxy และ mesotherapy เพื่อสลายไขมันยังไม่ได้รับการรับรองจากอย. และแพทย์สภา
การฉีดการฉีด carboxy คือการฉีดก๊าซ CO2 เข้าใต้ผิวหนัง มีความเสี่ยงที่ก๊าซจะเข้าสู่เส้นเลือด ทําให้สมองหรือหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงได้อันตรายมาก
สารที่ใช้ฉีดสลายไขมันที่ใช้ในปัจจุบันนี้ได้รับการรับรองจากอย.เพื่อการทาเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการฉีดผู้บริโภคควรหาข้อมูลก่อนเข้ารับบริการ




รอยคล้ำตามข้อพับ รักษาได้ไหม?

รอยคล้ำตามข้อพับ พบมากในคนอ้วน เป็นเบาหวาน หรือคนผิวคล้ำ การรักษาควรดูที่สาเหตุ การขัดผิวอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและผิวบริเวณนั้นสีคล้ำขึ้น
การบรรเทารอยคล้ำตามข้อพับ หลังคอ ทำได้โดยใช้ moisturizer เป็นประจำ และใช้ยาที่ปรับสภาพผิวโดยไม่เกิดการระคายเคือง เช่น Kojic, Arbutin, Licorice
รอยคล้ำตามข้อพับ คอ และตามตัวของหญิงตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์ หลังคลอดจะดีขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องรักษา
คนที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังควรระวังไม่ให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณข้อพับต่างๆ เพื่อลดการเกิดรอยดำ และหลีกเลี่ยงแสงแดดที่จะกระตุ้นให้ดำมากขึ้น

ครีมกันแดด สิ่งจำเป็นมากประโยชน์สำหรับผิว

วันนี้ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมทาครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30 ขึ้นไป เพื่อป้องกันริ้วรอยก่อนวัย จุดด่างดำจากแสงแดด และฝ้านะคะ
ระหว่างขับรถ เดินทางโดยรถยนต์หรือรถโดยสาร ควรทาครีมกันแดดด้วย เนื่องจากรังสี UVA สามารถทะลุผ่านกระจกรถมาถูกผิว ทำให้เกิดริ้วรอยและจุดด่างดำ
ก่อนทาครีมกันแดดชนิดนํ้า ต้องเขย่าขวดก่อน เพราะครีมกันแดดอาจแยกชั้นเมื่อตั้งทิ้งไว้ ประสิทธิภาพในการกันแดดจะลดลง ถ้าจําเป็นอาจต้องทา2รอบ
การทาครีมกันแดดบ่อยหรือหนาเกินไป อาจเกิดการสะสมของสารเคมีบนผิวหนัง และทำให้เกิดสิวอุดตัน ดังนั้นคนที่มีสิวอักเสบอาจเว้นการใช้ครีมกันแดดก่อน
การใช้ moisturizer ที่ดีและเหมาะสมกับผิวอย่างสมํ่าเสมอ ก็เพียงพอที่จะทําให้หน้าดูสดใส โดยไม่ต้องใช้ whitening เพื่อทำให้ผิวขาวขึ้น


การทาครีมกันแดดบนใบหน้าจะต้องทาด้วยปริมาณที่มากพอ ถึงจะมีประสิทธิภาพ คือปริมาณ = เหรียญ 10 บาท ทั่วใบหน้า http://t.co/bsdDlRp3
 แต่ถ้ากะปริมาณเหรียญ 10 บาทไม่ถูก ให้บีบครีมออกมายาว = 2 ข้อนิ้ว ทาให้ทั่วใบหน้า http://t.co/Bmf6i1le
ถ้าใช้ครีมกันแดดชนิดนํ้า ให้เทลงบนฝ่ามือ กะปริมาณให้ใกล้เคียงกับเหรียญ 10 บาท โดยต้องทา 2 รอบ http://t.co/27KPj4Ww


การทดสอบครีมกันแดดด้วยตนเอง สามารถทดสอบว่าแพ้หรือไม่ กันน้ำหรือไม่ และประเมินจากส่วนประกอบว่าจะทำให้เกิดสิวหรือระคายเคืองหรือไม่ได้ง่ายๆ
การทดสอบครีมกันแดดว่าแพ้หรือไม่ ให้ลองทาครีมกันแดดที่ท้องแขนทุกวันต่อเนื่องกัน 7 วัน ถ้าไม่มีผื่นบวมแดง คัน แสดงว่าไม่แพ้
หลังจากทาครีมกันแดดที่ท้องแขนแล้วพบว่าไม่แพ้ ให้ลองทาครีมกันแดดบริเวณแขนส่วนที่ถูกแสงแดด แล้วลองตากแดด 15 นาที ถ้าไม่บวมแดงแสดงว่าไม่แพ้
อาการแพ้ครีมกันแดดบางครั้งไม่ได้เกิดจากการทาครีมกันแดดเท่านั้น แต่เป็นการทาครีมแล้วถูกแสงแดด เพราะแสงแดดสามารถทำปฏิกิริยากับสารในครีมได้
 การทดสอบว่าครีมกันแดดกันน้ำได้หรือไม่ ให้ลองทาครีมกันแดดลงบนแขนให้ทั่ว แล้วจุ่มแขนลงในน้ำ ถ้ายกแขนขึ้นมาแล้วไม่มีน้ำเกาะผิวแสดงว่ากันน้ำ
 สำหรับการเกิดสิวและการระคายเคืองของครีมกันแดด ไม่สามารถทดสอบได้โดยตรง ต้องดูส่วนผสมของครีมกันแดดว่ามีสารก่อสิว หรือระคายเคืองหรือไม่
สามารถตรวจสอบส่วนผสมของครีมที่ทำให้เกิดสิวหรือระคายเคืองได้ที่นี่ http://www.zerozits.com/Articles/acne_detective/article6.htm 
เมื่อดูสารในตาราง แล้วมีส่วนผสมที่มีค่าการเกิดสิวหรือระคายเคือง > หรือ = 3 แสดงว่ามีโอกาสเกิดสิว หรือระคายเคืองได้ง่าย ให้หลีกเลี่ยง


การรักษาริ้วรอย หน้าใส ลดรูขุมขนและอื่นๆด้วย Botulinum toxin

Botulinum toxin เป็นสารชีวภาพสกัดจากเชื้อแบคทีเรีย Clostridium botulinum ซึ่งเป็นเชื้อกลุ่มเดียวกับเชื้อที่ทำให้เกิดบาดทะยัก มีฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ จึงสามารถใช้ลดรอยย่นได้
จึงสามารถใช้รักษาโรคต่าง ๆ ได้หลายชนิด ในด้านความงามสามารถใช้ลดริ้วรอยย่นบนใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียว ลดขนาดของกรามและน่อง ยังสามารถใช้รักษาภาวะนอนกัดฟันได้ด้วย
ในประเทศไทยมี botulinum toxin 3 ยี่ห้อ ที่ผ่านการรับรองจาก อย. คือ Botox, Dysport และ Neuronox
ดังนั้น Botox จึงเป็นยี่ห้อนึงของ Botulinum toxin เหมือนกับที่ แฟ๊บเป็นยี่ห้อนึงของผงซักฟอกค่ะ :)

การใช้ botulinum toxin เพื่อลดขนาดกรามต้องใช้จำนวน 40-70 unit ในขณะที่ใช้ลดขนาดของน่องต้องใช้จำนวน 120-160 unit และต้องรอ 2-3 เดือนจึงเห็นผล
 ค่าบริการฉีด botulinum toxin จะขึ้นกับปริมาณ (unit) ที่ใช้ โดยราคาค่าบริการจะประมาณ unit ละ 150-500 บาท (ขึ้นกับสถานพยาบาลที่ให้บริการ)
ฤทธิ์ของ botulinum toxin ในการปรับรูปหน้าลดขนาดของกรามและน่อง เริ่มเห็นผลในเวลา 2-3 เดือน คงอยู่นาน 6 เดือน แต่มักแนะนำให้ฉีดซ้ำที่ 3 เดือน
 ฤทธิ์ของ botulinum toxin ในการลดริ้วรอยย่นบนใบหน้าจะเริ่มเห็นผลใน 2-3 วันหลังฉีด เห็นผลสูงสุด 2 สัปดาห์ และมีฤทธิ์อยู่นาน 3 เดือน


วิธีการใช้ botulinum toxin เพื่อให้หน้าใส ลดรูขุมขนทำได้โดยฉีด botulinum toxin ที่ขนาดเจือจางมากๆ ลงในบริเวณที่ต้องการรักษา เห็นผลใน1สัปดาห์
ถึงแม้ botulinum toxin จะใช้เพื่อทำให้หน้าใส ลดรูขุมขนได้ แต่ปัญหาคือราคาแพง หมดฤทธิ์เร็ว ต้องฉีดซ้ำบ่อย ๆ โดยทั่วไปจะฉีดทุก 2-3 เดือน
ส่วนฟิลเลอร์ จะมีการนำฟิลเลอร์ที่มีเนื้อบางเบากว่าเดิม เข้ามาใช้ในวงการแพทย์ไทย ซึ่งฟิลเลอร์ชนิดนี้เหมาะสำหรับการฉีดเพื่อให้หน้าใส ลดรูขุมขน
การฉีดฟิลเลอร์ให้หน้าใส ลดรูขุมขน ทำได้โดยฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการรักษา โดยส่วนใหญ่จะฉีด 10-50 จุดขึ้นไป และจะเห็นผลทันทีหลังฉีด
ข้อเสียของการใช้ฟิลเลอร์ทำหน้าใสลดรูขุมขนนี้คือ ราคาแพงมาก ผลไม่ถาวร ต้องฉีดซ้ำทุก 3-6 เดือน และเจ็บขณะทำการรักษาถึงแม้ว่าจะทายาชาแล้วก็ตาม



Monday, December 19, 2011

การรักษาสิวเสี้ยนด้วยการทายา

การรักษาสิวเสี้ยนด้วยยาทา เป็นการรักษาเพียงชั่วคราว เมื่อหยุดทายาสิวเสี้ยนก็จะเกิดใหม่ได้ แต่ก็เป็นวิธีที่ราคาถูกที่สุดในบรรดาวิธีทั้งหมด
ยาทาที่นิยมใช้รักษาสิวเสี้ยนมี 2 ชนิด คือ benzyl peroxideและกรดวิตะมินเอ มีข้อควรระวังคือห้ามทายา 2 ชนิดนี้ในเวลาเดียวกันเพราะจะล้างฤทธิ์กัน
เพื่อการรักษาสิวเสี้ยนอย่างมีประสิทธิภาพ ควรใช้ benzyl peroxide ในตอนเช้า 15-30 นาทีแล้วล้างออก และทากรดวิตะมินเอก่อนเข้านอน
ระหว่างที่ใช้ benzyl peroxideหรือกรดวิตะมินเอ ไม่ควรใช้กรดผลไม้ร่วมด้วย เพราะจะทำให้เกิดผิวแพ้ง่าย ระคายเคือง ลอก แดง แสบได้
การใช้กรดวิตะมินเอร่วมกับbenzyl peroxideได้ผลดี โดยกรดวิตะมินเอจะป้องกันและกำจัดสิวอุดตัน ส่วนBPจะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดสิว/ลดสิวอักเสบ

ยาทากรดวิตะมินเอสามารถรักษาสิวได้โดยการลดการอุดตันของสิว และทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วขึ้น เซลล์ในรูขุมขนหลวมสิ่งที่อุดตันในรูขนจึงลอกได้
ยาทากรดวิตะมินเอมีทั้งรูปแบบเจล น้ำ หรือครีม ยาในรูปของเจลทำให้หน้าแห้งลอกได้มากที่สุด ในรูปของครีมทำให้หน้าแห้งลอกน้อยที่สุด
ควรเริ่มใช้กรดวิตะมินเอในรูปของครีมก่อน ถ้าหน้าลอกแดง ให้เว้นการทาลง เช่น ทาคืนเว้นคืน หรือคืนเว้น 2 คืน รอจนหน้าปรับสภาพได้แล้วค่อยทาทุกคืน
การใช้ยาทากรดวิตะมินเอ ต้องใช้เวลา 3-6 สัปดาห์กว่าจะเห็นผล ดังนั้นถ้าเริ่มใช้ยาแล้วเห็นว่าไม่ดีขึ้นเร็ว อย่าพึ่งหยุดใช้ยา
การทายากรดวิตะมินเอ ควรทาเพียงวันละ 1 ครั้งก่อนนอน ควรทายาบนผิวที่แห้งสนิท เพื่อป้องกันไม่ให้หน้าแห้งและระคายเคืองง่ายขึ้น
การทายากรดวิตะมินเอ อาจทำให้หน้าแดงและลอกบ้าง หรืออาจมีสิวเห่อในช่วง 2-4 สัปดาห์แรก เนื่องจากยาไปลอกผิวชั้นบนออก ทำให้หัวสิวโผล่ขึ้นมา
การระคายเคืองเมื่อใช้กรดวิตะมินเอ เป็นอาการปกติ เจอในคนไข้แทบทุกราย แต่ผิวจะค่อย ๆ ปรับตัว และชินกับกรดวิตะมินเอ จนการระคายเคืองลดลงได้เอง
หากใช้กรดวิตะมินเอมานานเกินกว่า 2 เดือน แล้วยังมีอาการแสบ หน้าแดง ลอก ควรปรึกษาแพทย์ผู้สั่งยา เพื่อให้แพทย์เลือกใช้ยาตัวอื่นแทน
ถ้าต้องทาครีมหลาย ๆ ตัวในเวลาเดียวกัน ควรเว้นระยะห่างระหว่างการทายาครีมแต่ละตัวอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อให้ผิวหน้าสามารถดูดซึมครีมได้ทุกตัว

กรดผลไม้ในรูปยาทา จะทำให้เซลล์ชั้นหนังกำพร้าผลัดเร็วขึ้น ชั้นขี้ไคลจะบางลง มีผลทำให้ผิวดูสดใสขึ้น และทำให้จุดด่างดำจางลงได้
กรดผลไม้ที่นิยมใช้มี 2 ตัว คือ AHAs และ BHA โดยที่ AHAs มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องผิวใส แต่อาจกระตุ้นสิวได้ ส่วน BHA เด่นในเรื่องการรักษาสิว
การใช้กรดวิตะมินเอร่วมกับกรดผลไม้ (ทั้ง AHAs และ BHA) อาจทำให้หน้าแห้งลอกมากเกินไป และกระตุ้นให้สิวเห่อได้

การกำจัดสิวเสี้ยนด้วยครีมหรือแผ่นลอกทำให้ผิวหนังอักเสบช้ำน้อยกว่าการบีบ แต่ก็ยังเกิดการระคายเคืองได้ และทุกวิธีไม่สามารถลดสิวเสี้ยนได้ถาวร
การใช้แผ่นแปะจมูกที่มีขายทั่วไป ช่วยลอกสิวเสี้ยนออกได้บ้าง แต่ไม่ควรใช้กาวตราช้างลอกสิวเอง เนื่องจากเป็นสารระคายเคืองและทำให้สิวอักเสบได้
รอยดําหรือรอยแดงจากสิวอาจหายเองได้ในเวลา3-6เดือน การทายาและเลเซอร์ลบรอยแดงจะช่วยให้หายเร็วขึ้น ส่วนแผลเป็นสิวไม่มีวันหายเอง การทายาก็ไม่ช่วย

การกดหรือบีบสิวเสี้ยนออกทำให้สิวเสี้ยนดีขึ้นชั่วคราว จะกลับมาเป็นใหม่อีก ควรทำด้วยความระมัดระวัง เพราะถ้ากดหรือบีบไม่ดีทำให้อักเสบเป็นแผลได้
สิวเสี้ยนที่จมูกสามารถใช้ยาทากลุ่มวิตะมินเอหรือการลอกผิวด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อบรรเทาได้ชั่วคราว แต่เมื่อหยุดรักษาสิวเสี้ยนก็จะกลับเป็นใหม่ได้
 จากงานวิจัยของ @DrWoraphong พบว่าการใช้เลเซอร์เพื่อรักษาสิวเสี้ยนควรทำ 2-3 ครั้งทุกเดือน จะลดสิวเสี้ยนได้มากกว่า 50% ได้นานถึง 5 เดือน