Pages

Subscribe:

Knowledge is Power

สะสมความรู้ได้ทุกวัน
Powered by Blogger.

Blog Archive

Monday, December 19, 2011

การรักษาสิวเสี้ยนด้วยการทายา

การรักษาสิวเสี้ยนด้วยยาทา เป็นการรักษาเพียงชั่วคราว เมื่อหยุดทายาสิวเสี้ยนก็จะเกิดใหม่ได้ แต่ก็เป็นวิธีที่ราคาถูกที่สุดในบรรดาวิธีทั้งหมด
ยาทาที่นิยมใช้รักษาสิวเสี้ยนมี 2 ชนิด คือ benzyl peroxideและกรดวิตะมินเอ มีข้อควรระวังคือห้ามทายา 2 ชนิดนี้ในเวลาเดียวกันเพราะจะล้างฤทธิ์กัน
เพื่อการรักษาสิวเสี้ยนอย่างมีประสิทธิภาพ ควรใช้ benzyl peroxide ในตอนเช้า 15-30 นาทีแล้วล้างออก และทากรดวิตะมินเอก่อนเข้านอน
ระหว่างที่ใช้ benzyl peroxideหรือกรดวิตะมินเอ ไม่ควรใช้กรดผลไม้ร่วมด้วย เพราะจะทำให้เกิดผิวแพ้ง่าย ระคายเคือง ลอก แดง แสบได้
การใช้กรดวิตะมินเอร่วมกับbenzyl peroxideได้ผลดี โดยกรดวิตะมินเอจะป้องกันและกำจัดสิวอุดตัน ส่วนBPจะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดสิว/ลดสิวอักเสบ

ยาทากรดวิตะมินเอสามารถรักษาสิวได้โดยการลดการอุดตันของสิว และทำให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเร็วขึ้น เซลล์ในรูขุมขนหลวมสิ่งที่อุดตันในรูขนจึงลอกได้
ยาทากรดวิตะมินเอมีทั้งรูปแบบเจล น้ำ หรือครีม ยาในรูปของเจลทำให้หน้าแห้งลอกได้มากที่สุด ในรูปของครีมทำให้หน้าแห้งลอกน้อยที่สุด
ควรเริ่มใช้กรดวิตะมินเอในรูปของครีมก่อน ถ้าหน้าลอกแดง ให้เว้นการทาลง เช่น ทาคืนเว้นคืน หรือคืนเว้น 2 คืน รอจนหน้าปรับสภาพได้แล้วค่อยทาทุกคืน
การใช้ยาทากรดวิตะมินเอ ต้องใช้เวลา 3-6 สัปดาห์กว่าจะเห็นผล ดังนั้นถ้าเริ่มใช้ยาแล้วเห็นว่าไม่ดีขึ้นเร็ว อย่าพึ่งหยุดใช้ยา
การทายากรดวิตะมินเอ ควรทาเพียงวันละ 1 ครั้งก่อนนอน ควรทายาบนผิวที่แห้งสนิท เพื่อป้องกันไม่ให้หน้าแห้งและระคายเคืองง่ายขึ้น
การทายากรดวิตะมินเอ อาจทำให้หน้าแดงและลอกบ้าง หรืออาจมีสิวเห่อในช่วง 2-4 สัปดาห์แรก เนื่องจากยาไปลอกผิวชั้นบนออก ทำให้หัวสิวโผล่ขึ้นมา
การระคายเคืองเมื่อใช้กรดวิตะมินเอ เป็นอาการปกติ เจอในคนไข้แทบทุกราย แต่ผิวจะค่อย ๆ ปรับตัว และชินกับกรดวิตะมินเอ จนการระคายเคืองลดลงได้เอง
หากใช้กรดวิตะมินเอมานานเกินกว่า 2 เดือน แล้วยังมีอาการแสบ หน้าแดง ลอก ควรปรึกษาแพทย์ผู้สั่งยา เพื่อให้แพทย์เลือกใช้ยาตัวอื่นแทน
ถ้าต้องทาครีมหลาย ๆ ตัวในเวลาเดียวกัน ควรเว้นระยะห่างระหว่างการทายาครีมแต่ละตัวอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อให้ผิวหน้าสามารถดูดซึมครีมได้ทุกตัว

กรดผลไม้ในรูปยาทา จะทำให้เซลล์ชั้นหนังกำพร้าผลัดเร็วขึ้น ชั้นขี้ไคลจะบางลง มีผลทำให้ผิวดูสดใสขึ้น และทำให้จุดด่างดำจางลงได้
กรดผลไม้ที่นิยมใช้มี 2 ตัว คือ AHAs และ BHA โดยที่ AHAs มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องผิวใส แต่อาจกระตุ้นสิวได้ ส่วน BHA เด่นในเรื่องการรักษาสิว
การใช้กรดวิตะมินเอร่วมกับกรดผลไม้ (ทั้ง AHAs และ BHA) อาจทำให้หน้าแห้งลอกมากเกินไป และกระตุ้นให้สิวเห่อได้

การกำจัดสิวเสี้ยนด้วยครีมหรือแผ่นลอกทำให้ผิวหนังอักเสบช้ำน้อยกว่าการบีบ แต่ก็ยังเกิดการระคายเคืองได้ และทุกวิธีไม่สามารถลดสิวเสี้ยนได้ถาวร
การใช้แผ่นแปะจมูกที่มีขายทั่วไป ช่วยลอกสิวเสี้ยนออกได้บ้าง แต่ไม่ควรใช้กาวตราช้างลอกสิวเอง เนื่องจากเป็นสารระคายเคืองและทำให้สิวอักเสบได้
รอยดําหรือรอยแดงจากสิวอาจหายเองได้ในเวลา3-6เดือน การทายาและเลเซอร์ลบรอยแดงจะช่วยให้หายเร็วขึ้น ส่วนแผลเป็นสิวไม่มีวันหายเอง การทายาก็ไม่ช่วย

การกดหรือบีบสิวเสี้ยนออกทำให้สิวเสี้ยนดีขึ้นชั่วคราว จะกลับมาเป็นใหม่อีก ควรทำด้วยความระมัดระวัง เพราะถ้ากดหรือบีบไม่ดีทำให้อักเสบเป็นแผลได้
สิวเสี้ยนที่จมูกสามารถใช้ยาทากลุ่มวิตะมินเอหรือการลอกผิวด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อบรรเทาได้ชั่วคราว แต่เมื่อหยุดรักษาสิวเสี้ยนก็จะกลับเป็นใหม่ได้
 จากงานวิจัยของ @DrWoraphong พบว่าการใช้เลเซอร์เพื่อรักษาสิวเสี้ยนควรทำ 2-3 ครั้งทุกเดือน จะลดสิวเสี้ยนได้มากกว่า 50% ได้นานถึง 5 เดือน




0 comments:

Post a Comment