Pages

Subscribe:

Knowledge is Power

สะสมความรู้ได้ทุกวัน

Wednesday, January 11, 2012

การใช้ LED เพื่อผิวใส กระตุ้นผมงอก และรักษาสิว

เทคโนโลยีที่จะมาแรงในปี 2555 นี้คือการฉายแสง LED เพื่อทำให้ผิวขาวใส และเพื่อกระตุ้นให้ผมงอกใหม่
การใช้ LED ทางผิวหนังใช้แสงหลายสี แต่ละสีใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างกัน แดง-ซ่อมแซมผิวหนัง, ฟ้า-ฆ่าเชื้อสิว, เขียว-ลดจุดด่างดำ, เหลือง-ลดรอยแดง
การฉายแสง LED เพื่อให้ผิวขาวใส ทำได้โดยใช้แสงสีเขียว แดง และเหลือง ฉายสลับกัน โดยต้องทำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ไปนาน 5-10 ครั้ง
ข้อดีของการทำให้ผิวขาวใสด้วย LED คือ ไม่เป็นอันตราย ผิวจะค่อยๆขาวใสขึ้น หลังการรักษา 2-3 ครั้ง ข้อเสียคือได้ผลเพียงชั่วคราว และต้องมาทำบ่อยๆ
การใช้แสง LED เพื่อกระตุ้นให้ผมงอก ใช้ได้ในคนที่มีผมบางจากกรรมพันธุ์ โดยฉายแสงสีเหลืองและแดงสลับกัน ต้องทำทุกสัปดาห์ อย่างน้อย 5-10 ครั้ง
ข้อดีของการรักษาผมบางด้วย LED คือไม่มีผลข้างเคียง แต่ต้องทำบ่อย และต้องใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่นการทายา หรือการกินยา
ในต่างประเทศเริ่มมีการนำเครื่อง LED ขนาดเล็กมาขายให้คนนำไปใช้เองที่บ้าน แต่ในประเทศไทยเครื่องเหล่านี้ยังไม่ได้การรับรองจาก อย.
มีการโฆษณาขายเครื่อง LED ที่ให้คนนำไปใช้เองที่บ้านได้ แต่ควรต้องระวังเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากแสง LED อาจทำอันตรายต่อสายตาได้ถ้าไม่ป้องกัน

การรักษาสิวแบบใหม่ล่าสุดที่จะมาแรงในปีนี้มี 2 อย่าง คือ photodynamic therapy และการฉายแสง LED สําหรับสิวอักเสบให้ดีขึ้นได้ใน 2 สัปดาห์
การฉายแสงLED รักษาสิว เป็นการรักษาสิวอักเสบแบบใหม่อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งฆ่าเชื้อสิวได้แต่ไม่ลดความมันบนใบหน้า สิวอักเสบส่วนใหญ่จะดีขึ้นใน1เดือน
การรักษาสิวด้วย LED ทําโดยการฉายแสงสีนํ้าเงินและแดงลงบนบริเวณที่เป็นสิว ครั้งละ20-30นาที สัปดาห์ละ1-2ครั้ง ติดต่อกันนาน1-2เดือน
ข้อดีของการรักษาสิวด้วยLEDคือราคาถูกกว่าการยิงเลเซอร์รักษาสิว และไม่มีปัญหาเรํ่องผิวหนังไวแสง แต่ต้องมาทําการรักษาบ่อยถึงสัปดาห์ละ1-2ครั้ง

การรักษาริ้วรอย หน้าใส ลดรูขุมขนและอื่นๆด้วย Fillers

Fillers หรือสารเติมเต็ม ใช้สําหรับลดริ้วรอย ร่องแก้ม เติมหลุมสิว แผลเป็น และใช้ปรับรูปหน้า เสริมจมูก แก้ม และคางได้
สารเติมเต็ม (Fillers) ชนิด hyaluronic acids เป็นสารที่ปลอดภัยสำหรับร่างกาย แต่จะสลายไปภายในระยะเวลา 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทที่เลือกใช้
การเติมฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้างจะเห็นผลอย่างชัดเจนทันทีหลังการรักษา แต่มีข้อเสียคือราคาแพง และอยู่ได้นานแค่ 3-6 เดือนเท่านั้น
การใช้ซิลิโคนเหลว น้ำมันพืช หรือสารที่ไม่ได้รับการรับรองจาก อย. ฉีดเข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ และเป็นอันตรายต่อร่างกาย
ภายในเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา มีคนไข้ตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมจมูกอย่างน้อย 2 ราย ซึ่งเกิดจากการฉีดเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา
การใช้เข็มฉีดฟิลเลอร์ชนิดปลายทู่ สามารถความเสี่ยงการฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดแล้วทำให้ตาบอดได้ แต่ไม่สามารถรับประกันได้ 100%
ขอบตาดำจากการมีผิวหนังใต้ตาบางเมื่ออายุมากขึ้น รักษาได้โดยการฉีดฟิลเลอร์ แต่ต้องระวังหากฉีดฟิลเลอร์ตื้นไป อาจเกิดก้อนสีน้ำเงินใต้ผิวหนังได้
ใต้ตาหรือขอบตาดำเกิดจากกรรมพันธุ์ การเป็นภูมิแพ้ ผิวหนังใต้ตาบางลงจากอายุที่เพิ่มขึ้นจนทำให้เห็นเส้นเลือดชัดขึ้น แต่ละสาเหตุจะรักษาต่างกัน
ขอบตาดำจากกรรมพันธุ์ ส่วนใหญ่พบในคนผิวคล้ำ การรักษาอาจใช้ยาทาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี การทาครีมบำรุง หรือใช้เลเซอร์สำหรับกำจัดเม็ดสี

มีสารเติมเต็ม (fillers) ตัวใหม่ที่ผ่านอย.แล้วเข้ามาขายในไทย ฟิลเลอร์ตัวใหม่นี้จะผสมยาชาเข้าไปด้วย ทําให้คนไข้เจ็บน้อยหรือไม่เจ็บเลยขณะฉีด
ถ้าใครเคยฉีดฟิลเลอร์มาแล้วคงจะรู้ว่าเจ็บขนาดไหน ถึงทายาชาก่อนฉีดแล้วก็ยังเจ็บมากอยู่ดี ดังนั้นการมีฟิลเลอร์ผสมยาชาจะช่วยบรรเทาความเจ็บได้มาก
แต่ข้อดีของฟิลเลอร์ผสมยาชาที่ดีกว่าฟิลเลอร์ทัั่วไปก็มีเพียงเจ็บน้อยกว่าเท่านั้น ผลข้างเคียงอื่นๆ จากการฉีดฟิลเลอร์ก็ยังเหมือนการฉีดทั่วไป

ผลข้างเคียงจากการฉีดฟิลเลอร์ (ถึงแม้ผ่านการรับรองจากอย.) คือการมีรอยชํ้า มีตุ่มหรือก้อนใต้ผิวหนัง ติดเชื้อ ที่ร้ายแรงที่สุดคือตาบอด
การตาบอดหลังการฉีดฟิลเลอร์เกิดจากการฉีดสารเข้าเส้นเลือดแทนที่จะเข้าไปอยู่ใต้ผิวหนัง ฟิลเลอร์จะเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา

มีฟิลเลอร์ปลอมระบาดในท้องตลาด ผู้บริโภคต้องระวังระยะหลังมีการนําสารที่ไม่ปลอดภัย เช่น ซิลิโคนเหลวและนํ้ามันมาฉีดแทนฟิลเลอร์ด้วย
โปรดสังเกตความแตกต่างกันของกล่องผลิตภัณฑ์ http://t.co/LS428qFu
เมื่อฉีดซิลิโคนเหลวหรือนํ้ามันเข้าสู่ร่างกาย สารเหล่านี้จะไม่สลาย อาจเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ และไหลลงสู่ผิวหนังบริเวณอื่นได้ ทําให้หน้าผิดรูป
ไม่สามารถกําจัดซิลิโคนเหลว พาราฟิน หรือนํ้ามัน ที่ถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายได้ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจึงไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

Friday, January 6, 2012

สเตียรอยด์...อันตรายใกล้ตัว

ครีมสเตียรอยด์เป็นยาสำหรับรักษาผื่นผิวหนังหลายชนิด เช่น ผิวหนังอักเสบ ผื่นแพ้ และโรคผิวหนังบางโรค เช่น สะเก็ดเงิน ด่างขาว ผมร่วงเป็นหย่อม
ครีมสเตียรอยด์จะแบ่งเป็นระดับตามความแรงของยา ตั้งแต่ระดับความแรงน้อยไปจนถึงมาก การเลือกใช้จะดูตามอายุของคนไข้ บริเวณที่จะทา และโรคที่เป็น
เด็กอายุน้อยๆ และคนแก่อายุมากๆ มีผิวหนังบาง ควรใช้ครีมสเตียรอยด์ชนิดอ่อนเท่านั้น เพราะผิวหนังที่บางจะดูดซึมยาเข้าไปมาก และเกิดผลข้างเคียงได้
ถ้ามีผื่นผิวหนังบริเวณที่ผิวหนังบาง เช่น หน้า ควรใช้ครีมสเตียรอยด์ชนิดอ่อน แต่ถ้าเป็นบริเวณผิวหนังหนา เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ควรใช้ครีมชนิดแรง
โรคผิวหนังที่ไม่ควรใช้สเตียรอยด์ เพราะทำให้ผื่นเห่อได้ เช่น สิว การติดเชื้อรา ผื่นผิวหนังอักเสบบนหน้าที่เกิดจากการติดครีมสเตียรอยด์
เมื่อทาครีมสเตียรอยด์บ่อยๆ บนหน้าจะเกิดอาการติดสเตียรอยด์ เมื่อหยุดยาหน้าจะแดงมีสิวผดเกิดขึ้น ดังนั้นคนที่มีสิวผดขึ้นฉับพลันต้องหาสาเหตุ
ครีมทาหน้าขาวหรือครีมรักษาฝ้าบางตัวจะมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ด้วย เมื่อใช้ไปนานๆ อาจเกิดภาวะติดสเตียรอยด์ได้เช่นกัน และเมื่อหยุดจะเกิดสิวผดได้
(1) วิธีการทดสอบว่าครีมที่ใช้มีสเตียรอยด์เป็นส่วนผสมหรือไม่ ทำได้โดยทาครีมที่สงสัยบนท้องแขนแล้วปิดพลาสเตอร์ทิ้งไว้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
(2) แกะพลาสเตอร์ที่ปิดไว้ออก สังเกตสีผิวบริเวณที่ทาครีม ถ้าสีผิวจางกว่าสีผิวที่ไม่ได้สัมผัสยา ให้สงสัยว่าครีมนั้นมีสเตียรอยด์เป็นส่วนผสม
การรักษาการติดครีมสเตียรอยด์หรือสิวผดที่เกิดจากการติดครีมสเตียรอยด์ทำได้ยาก ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษา เนื่องจากต้องปรับยาอย่างใกล้ชิด
ผลข้างเคียงจากการใช้ครีมสเตียรอยด์ คือ การมีเส้นเลือดขยาย เป็นสิว ผิวหนังเป็นวงขาว หรือบุ๋มลงไป มีขนขึ้นมากผิดปกติบริเวณที่ทายา
ถึงแม้ครีมสเตียรอยด์จะรักษาโรคผิวหนังได้หลายโรค แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีก็จะเกิดผลเสียได้มาก ถ้าต้องใช้ยานานติดต่อกันเกิน 1 เดือน ควรปรึกษาแพทย์


วิธีดูแลผิวยามน้ำท่วม

เมื่อน้ำท่วมน้ำจะพาสิ่งสกปรก สารเคมี เชื้อโรคให้แพร่กระจายปนอยู่ในน้ำที่ท่วมขัง แมลงต้องหนีน้ำออกจากที่อยู่เดิมมาอยู่ในที่แห้งร่วมกับมนุษย์
โรคผิวหนังที่พบในภาวะน้ำท่วม เช่น น้ำกัดเท้า การติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราที่ผิวหนัง และโรคผิวหนังจากการสัมผัสแมลงและสัตว์มีพิษกัดต่อย
คนทั่วไปมักเข้าใจว่าน้ำกัดเท้าเกิดจากเชื้อราแต่ไม่เป็นจริงเสมอไป น้ำกัดเท้าเกิดจากการระคายเคืองของผิวหนังจากความเปียกชื้นและสารเคมีสิ่งสกปรก
น้ำกัดเท้าจะมีอาการผิวหนังเปื่อยลอก โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า มีผื่นแดง แสบคัน การหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำท่วมขัง จะช่วยป้องกันน้ำกัดเท้าได้
การรักษาน้ำกัดเท้าควรทายาแก้คัน แต่ไม่ควรใช้ยาฆ่าเชื้อราทาเพราะยาฆ่าเชื้อราบางชนิดทำให้ผิวหนังระคายเคืองมากขึ้น แสบ แดง ลอก คันมากขึ้นไปอีก
การติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ผิวหนัง มักเกิดตามหลังภาวะน้ำกัดเท้า เพราะผิวที่เปื่อยยุ่ย ทำให้เชื้อต่าง ๆ เข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น
คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ตับแข็ง โลหิตจางธาลัสซีเมีย ควรระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง เพราะจะรุนแรงลุกลามเร็วอันตรายถึงชีวิตได้
การติดเชื้อราที่ผิวหนังต้องทายาฆ่าเชื้อราต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือน แม้ว่าผื่นจะดีขึ้นแล้วก็ไม่ควรหยุดทายาก่อน 1 เดือน เพราะเกลับป็นซ้ำได้
คนที่เป็นเชื้อราที่ผิวหนังไม่ควรทำความสะอาดบริเวณที่เป็นด้วยยาทาฆ่าเชื้อโรคอื่น ๆ เช่น alcohol เพราะทำให้ผิวแห้งและคันมากขึ้น
ช่วงน้ำท่วมต้องระวังแมลงมีพิษเช่น ตะขาบ แมลงป่อง หรืองูพิษ ถ้าถูกกัดต่อยควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด ยาลดบวม
ถ้าสงสัยว่าสัตว์มีพิษกัดแล้วยังไม่สามารถไปพบแพทย์ได้ต้องสังเกตสีและปริมาณของปัสสาวะอย่างน้อย1วัน ถ้าปัสสาวะลดลงหรือเป็นสีแดงต้องพบแพทย์ด่วน
ถ้าสัมผัสถูกน้ำท่วมขัง ต้องทำความสะอาดผิวหนังบริเวณนั้นด้วยน้ำสะอาดและสบู่ หลีกเลี่ยงการลุยน้ำถ้ามีแผลที่เท้า พยายามให้ผิวหนังแห้งอยู่เสมอ
ขอเอาใจช่วยผู้ประสบอุทกภัยทุกคน หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทุกท่านดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ ซึ่งจะลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงที่จะตามมาได้

วิธีดูแลรักษาเรียวปาก

@DrRungsima การดูแลริมฝีปากและผิวหนังรอบปากก็เป็นเรื่องสําคัญ เพราะริมฝีปากสามารถบอกถึงอายุและสุขภาพของเจ้าของริมฝีปากนั้นได้
จุดด่างดําบนริมฝีปากป้องกันได้โดยการทาลิปมันผสมสารกันแดด และรักษาได้ด้วยเลเซอร์1-2ครั้ง แต่จะมีแผลหลังทําเลเซอร์อยู่นาน1สัปดาห์
ริมฝีปากดําพบในคนผิวคลํ้า เป็นโรคผิวหนังบางโรค จากการแพ้ลิปสติก ยาสีฟัน หรือนํ้ายาบ้วนปาก โดยลิปสติกที่มีอัตราการแพ้มากที่สุดคือสีแดง
ถ้ามีผื่นขาวหรือขุย/ฝ้าสีขาวบนริมฝีปาก โดยเฉพาะริมฝีปากล่าง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะอาจเป็นโรคผิวหนังที่ต้องการการรักษาเฉพาะก็เป็นได้
รอยเหี่ยวย่นของริมฝีปากแก้ได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ริมฝีปากเต่งตึงขึ้น แต่ต้องทําซํ้าทุก6-9เดือน ส่วนรอยย่นรอบริมฝีปากใช้botulinum toxin
หนวดหรือขนใต้ริมฝีปากล่าง กําจัดได้ด้วยเลเซอร์กํลจัดขน 5-8ครั้งทุก 4-6สัปดาห์ แต่ต้องระวังการเกิดการไหม้ เป็นสะเก็ดหลังทำเลเซอร์
อากาศหนาวริมฝีปากแห้งแตก ไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อยๆ เพราะนํ้าลายจะทําให้ปากยิ่งแห้งแตก บางครั้งอาจมีผื่นลามเกินขอบปากออกมาก็ได้ ควรทาลิปมันแทน

ลิปสติกแบบใหม่ที่โฆษณาว่าสีติดทนบนริมฝีปากนาน มักมีส่วนผสมของชันสน (Colophony) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ลิปสติกยึดเกาะบนริมฝีปากได้ดี
คนที่ทาลิปสติกประเภทที่สีติดทนนานอาจเกิดการแพ้ชันสนได้ โดยจะมีผื่นที่ริมฝีปาก มีอาการคัน หรือริมฝีปากเปลี่ยนสีเป็นสีคล้ำขึ้น
คนที่แพ้ลิปสติกสีติดทนนานมักจะแพ้ mascara, eyeliner, plaster ปิดแผล,ไหมขัดฟันด้วย เพราะของเหล่านี้มี colophony เป็นส่วนผสมเพื่อให้ยึดติดผิว